มาฆบูชา ชาวพุทธควรเข้าใจอย่างไร

มาฆบูชา ชาวพุทธควรเข้าใจอย่างไร
ถ้าทราบถึงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้ว่า เป็นการประมวลคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและใช้กันมากเลย ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในวันมาฆบูชา มีพระภิกษุอรหันต์มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ๑,๒๕๐ รูป เราก็ฟังแต่ชื่อมาว่า “โอวาทปาติโมกข์” แล้วก็มีสรุปคำสอนพระพุทธศาสนาทั้งหมด เท่ากับย่อที่สุด เริ่มต้นด้วย “ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง” ซึ่งคนจะไม่กล่าวถึงช่วงนี้ แต่จะไปกล่าวถึง “เว้นชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้ผ่องใส” แต่ก่อนนั้นจะมีคำว่า “ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง”
ขันติ คือ ความอดทน เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีปัญญาได้ เราต้องอดทนมากๆ เลยค่ะ ไม่ใช่มาได้ง่ายๆ เงินซื้อไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มเทซื้อปัญญา แต่ว่าปัญญาต้องเกิดจากการอบรมทีละเล็กทีละน้อย และเป็นสิ่งที่เจริญช้า ไม่เหมือนกับโลภะ ซึ่งไม่ต้องบำรุง หรือไม่ต้องไปหาวิตามินอะไรมาใส่เลย เกิดอยู่ทุกวัน ทำลายก็ยาก แต่สำหรับปัญญาเป็นสิ่งซึ่งต้องค่อยๆ เจริญ ค่อยๆ เกิดขึ้น แล้วต้องอาศัยเหตุปัจจัย คือ การฟังด้วยความอดทน
การที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นท่านพระสารีบุตรไม่ถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นมหาสาวกก็น้อยลงมา แล้วอย่างเรา ถ้าจะไม่ฟังเลย หรือบางคนก็คิดว่า ไม่ต้องเรียนหรอกพระพุทธศาสนา ฟังเอานิดๆ หน่อยๆ สอนแค่ทำดี ละชั่วก็พอแล้ว อย่างนั้นไม่ชื่อว่า เป็นผู้ที่เห็นคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ต้องเป็นประโยชน์ แล้วถ้าไม่เรียน เราจะได้ประโยชน์จากพระธรรมได้อย่างไร ก็ไม่มีหนทางเลย
แม้แต่โอวาทปาติโมกข์ ละชั่ว ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรม เป็นเราละ พระพุทธเจ้าจะสอนให้เราละหรือ หรือให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม เพราะการละชั่ว ไม่ได้มีแต่เฉพาะคำสอนของพระบรมศาสดาพระองค์เดียว ทุกแห่งที่มีศาสดาแต่ละศาสดาก็ไม่ได้สอนให้ใครทำชั่ว แต่สอนให้ละชั่ว
เพราะฉะนั้นต่างกันอย่างไรระหว่างผู้ที่ละชั่วและได้ฟังธรรม กับผู้ที่ละชั่ว แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่ละชั่ว เหมือนกันหมด คือ ละชั่ว แต่ต่างที่เข้าใจว่า ชั่วเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าดีหรือชั่ว ก็เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ให้เข้าใจถึงความจริงว่า จะพูดว่า “ชั่ว” ก็คือธรรม จะพูดว่า “ละชั่ว” ก็คือธรรม ต้องมีความเข้าใจด้วยว่าเป็นธรรม จึงจะเป็นคำสอนของผู้รู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เผินๆ นี่ไง บอกให้ทำความดี เท่านั้นหรือคะ ใครก็บอกให้ทำความดีได้ พ่อแม่พี่น้องครูอาจารย์ ก็รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดดี ก็สอนให้ทำดี แล้วเป็นธรรมหรือ หรือเข้าใจธรรมหรือ หรือจะต่างกับคำสอนของศาสดาอื่นอย่างไร หรือจะต่างจากคำสอนของครูบาอาจารย์คนไหนอย่างไร
นี่คือไม่รู้จักความเป็น “พุทธะ” ว่า ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม หรือธรรมวินัย ก็คือสอนให้เข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วให้เห็นความหลากหลายของธรรมมากมาย ซึ่งไม่ใช่เรา อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา ให้รู้ว่าเป็นธรรม แม้แต่ละ ก็ต้องรู้ว่าเป็นการเห็นโทษของอกุศล แล้วรู้ด้วยว่า ละ ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่ด้วยการสะสมกุศลเพิ่มขึ้นจนสามารถเข้าใจ จนกระทั่งชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ถึง เพียงแค่ละทุจริต ละชั่ว แล้วก็ทำความดี โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ทีนี้ความต่างของพุทธศาสนิกชนหรือพุทธบริษัท ก็คือ เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม แม้แต่ในขณะที่อกุศลเกิด หรือในขณะที่ละอกุศลก็เป็นธรรม



