ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้าน ดร.มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  10 ก.พ. 2561
หมายเลข  29482
อ่าน  4,287

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันอังคาร ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในระหว่างการเดินทางมาสนทนาธรรมที่สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณศูนย์วิจัย สาธิตและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ตามคำเชิญของคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

ท่านอาจารย์และคณะฯ ได้เดินทางออกจากท่าอากาศยานดอนเมืองในเวลา ๑๓.๔๕ น. ถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ในเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. โดยมี ดร.มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ อาจารย์ประจำคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.หมายเลข ๑๖๒๕ เป็นผู้ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน พร้อมด้วยคณะของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.จังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน มาคอยให้การต้อนรับ

จากนั้น ดร.มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ (อาจารย์ยุ้ย) ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เดินทางเข้าพักที่บ้านพักของอาจารย์เอง ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ๆ อยู่ติดกับสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เป็นบ้านที่ออกแบบได้น่าอยู่มากๆ ทั้งภายนอกและภายในถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย ประตูทางเข้าตัวบ้านเป็นบานไม้บานใหญ่ที่ท่านเจ้าบ้านทั้งสองออกแบบเอง ดูเก๋ไก๋ ภายในตัวบ้านมีเพดานสูง และด้วยบานหน้าต่างที่สูงและกว้าง ทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้ความโปร่งโล่งเย็นสบายแก่ผู้อยู่อาศัยภายในตัวบ้านได้เป็นอย่างดี

ยิ่งหน้านี้เป็นหน้าหนาว อากาศยามค่ำคืน ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเขียนบันทึกนี้ไว้ล่วงหน้า (เพื่อกันลืม) อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ นั่งทำงานไปด้วยพร้อมๆ กับฟังเสียงของท่านอาจารย์ที่อาจารย์อรรณพกำลังเร่งตัดต่อคลิปธรรมเตือนใจ ปี ๒๕๖๐ อยู่ข้างๆ ทำให้เป็นขณะของความรื่นรมย์อย่างยิ่งขณะหนึ่งของชีวิตในสังสารวัฏ รู้สึกได้ถึงบุญแต่ปางก่อนที่เป็นเหตุให้ได้รับกุศลวิบากที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่งเช่นนี้บ่อยครั้งในชีวิต หาไม่แล้ว แต่ละขณะ แต่ละขณะ ที่ผ่านไป ก็จะเป็นไปแต่กับอกุศลที่เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้และความติดข้องต้องการทั้งสิ้น แล้วผลของอกุศลที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น จะน่ารื่นรมย์ได้อย่างไรกัน ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความทุกข์ ความเดือดร้อนรำคาญใจไม่รู้จบรู้สิ้นต่อๆ ไป หนักขึ้น หนาขึ้น เพราะความไม่รู้และความติดข้องนั้นเอง

เนื่องจากการเดินทางมาสนทนาธรรมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของท่านอาจารย์ในคราวนี้ ท่านอาจารย์ได้พักอยู่ที่บ้านของอาจารย์ยุ้ยตลอดทั้งสามวัน ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับความกรุณาจากท่านเจ้าบ้าน จัดที่ให้พักร่วมห้องกับอาจารย์อรรณพตลอดทั้งสามวันด้วย ทำให้ได้เห็นภาพของความน่ารักและอบอุ่นมากๆ ของครอบครัวของท่านเจ้าของบ้าน ซึ่งทั้งสองท่านมีลูกชายสองคน คนโตคือน้องโยเดีย และคนเล็กคือน้องยินดี (ขออภัยที่จำชื่อจริงของหลานทั้งสองไม่ได้เสียแล้ว) ทั้งคู่เป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักมากครับ แอบคิดเล่นๆ ว่า ชาตินี้มีเพียงลูกสาว ถ้ามีลูกชายก็อยากมีลูกชายที่น่ารัก เป็นเด็กดีอย่างหลานทั้งสองคนนี้ (ความจริง จริงๆ ไม่มีลูกสาวหรือลูกชาย ทั้งหมดเป็นเพียงจิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นเป็นไปในสังสารวัฏเท่านั้น) เฉพาะอย่างยิ่งน้องโยเดีย ที่ฉายแววของการสะสมความดีที่สะสมมาในอดีตอนันตชาติ และเพราะบุญที่สะสมมาในอดีตอนันตชาติ ทำให้ได้เกิดมาในสิ่งแวดล้อมและครอบครัวที่สวยงามได้ในชาตินี้ อันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้สะสมความดีประการต่างๆ ยิ่งๆ ขึ้นต่อไป ซึ่งจะเป็นเสบียงอันมีค่ายิ่งแก่ตนนั้นเอง ในสังสารวัฏ

น้องโยเดียกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมของโรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย เป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อยน่ารัก มีความขยันขันแข็ง ชอบช่วยเหลืองานการต่างๆ ภายในบ้าน วันที่พวกเราเดินทางมาถึง น้องโยเดียเป็นตัวแทนของครอบครัวนำพวงมาลัยมากราบเท้าท่านอาจารย์ ทั้งยังกุลีกุจอช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตของท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ดเข้าเก็บในห้อง เป็นภาพที่ประทับใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นมาก นอกจากน้องโยเดียจะชอบฟังธรรมะกับคุณยายและคุณแม่แล้ว ข้าพเจ้ายังเห็นภาพน้องโยเดียขณะที่ช่วยคนในครัวล้างจานที่บ้านธัมมะลำพูนด้วย เป็นภาพที่น่ารักมากๆ แสดงให้เห็นถึงการเอาใจใส่ดูแลของคุณพ่อคุณแม่และคุณยายเป็นอย่างดี ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือแสดงให้เห็นถึงอัธยาศัยที่สะสมมาของบุคคลในสังสารวัฏยาวนาน ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้น้อมไปสู่การทำความดีทุกประการ เป็นขณะของคุณความดีประการต่างๆ ที่จะเจริญขึ้น ซึ่งคุณความดีทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเป็นที่พึ่งที่ยอดเยี่ยมแก่บุคคลนั้นเองในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ อีกทั้งความเข้าใจธรรมะของพ่อแม่ ปู่ตา ย่ายาย ย่อมทำให้เป็นผู้มีเมตตาเกื้อกูล ให้ในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแก่บุตรหลาน ด้วยเมตตา ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน เป็นความหวังดี ความเกื้อกูล ความปรารถนาดี ที่แท้จริง ไม่ใช่การเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยความติดข้องต้องการ ซึ่งไม่ใช่หนทางไปสู่ความละคลายความไม่รู้และความติดข้อง อันจะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้เลย ครอบครัวที่มีความเข้าใจธรรมะ จึงเป็นครอบครัวที่พบกับความสุขที่แท้จริงในชีวิตในปัจจุบันชาตินี้เอง ซึ่งบุคคลทั้งหลายที่แสวงหาความสุข แต่จะหาความสุขอันแท้จริงเช่นนี้ไม่พบเลย หากไม่มีความเข้าใจธรรมะ ด้วยประการฉะนี้ ฟังดูเหมือนง่าย เหมือนเข้าใจ แต่ไม่ใช่เช่นนั้นเลย ก่อนฟังธรรมะ ใครเลยจะเชื่อว่า ความเข้าใจธรรมะเพียงประการเดียวเท่านั้น ที่จะนำไปสู่ความดีงาม กุศลธรรมทุกประการ อันเป็นเหตุแห่งสุขที่แท้จริง สูงสุดคือความเป็นพระอรหันต์ สิ้นกิเลสสิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง เพราะ "ความเข้าใจธรรมะ"

อนึ่ง จากการที่ได้พักอยู่ที่บ้านของอาจารย์ยุ้ยทั้งสามวันทำให้เห็นภาพของความดีงามประการต่างๆ ความเกื้อกูล ความเมตตาของพี่ๆ สหายธรรมทุกคนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกันตลอดสามวัน ได้เห็นความอบอุ่นน่ารักของครอบครัวท่านเจ้าบ้านดังได้กล่าวแล้ว ได้เห็นภาพของท่านเจ้าบ้าน เฉพาะอย่างยิ่งสามีของอาจารย์ยุ้ยที่นอกจากจะขยันทำงานต่างๆ ภายในบ้านด้วยตนเองแล้ว ยังมีฝีมือในการทำอาหารที่อร่อยๆ หลายอย่าง

สามีของอาจารย์ยุ้ยเป็นผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารมากๆ ตื่นแต่เช้าเข้าครัวทำอาหารเช้าสำหรับท่านอาจารย์และพวกเราทุกเช้า (ซึ่งปกติท่านจะมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปทำงานวิจัยตามต่างจังหวัดหลายแห่งบ่อยๆ ครั้งนี้เป็นบุญของพวกเราที่ท่านอยู่บ้านพอดี) จึงจะขออนุญาตนำภาพความประทับใจต่างๆ นั้นมาเก็บบันทึกไว้ในกระทู้นี้เพื่อเป็นที่ระลึกด้วย ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของอาจารย์ยุ้ยและครอบครัว โดยเฉพาะอาจารย์ยุ้ยที่ทำหน้าที่ทุกอย่าง ตั้งแต่คอยดูและอำนวยความสะดวกทุกประการให้กับท่านอาจารย์ คุณป้าจี๊ด และพวกเราทุกคน ตลอดจนคอยดูแล จัดซื้อจัดหาอาหาร เครื่องปรุงและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หอบหิ้วพะรุงพะรังลงจากรถ ขับรถคอยรับคอยส่งสหายธรรมท่านที่เดินทางมาทีหลัง กลับก่อน ไหนจะต้องดูแลเรื่องความสะดวกเรียบร้อยในการสนทนาธรรมทุกวันอีก ฯลฯ (ขอยกนิ้วให้เป็นซุปเปอร์วูเม่นเลยครับ) ขอบพระคุณและอนุโมทนาพี่แอ๊ว (ฟองจันทร์ วอลช) และทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ในบ่ายวันแรกที่ท่านอาจารย์และคณะเดินทางมาถึง ท่านอาจารย์เมตตาให้เวลาในการสนทนาธรรมเกื้อกูลแก่สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เชียงใหม่-ลำพูน ที่เดินทางมาต้อนรับและติดตามมาฟังการสนทนาธรรมที่บ้านของอาจารย์ยุ้ยด้วยกัน เป็นอีกขณะหนึ่งที่ยอดเยี่ยมในคราวนี้ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้รับฟังธรรมะที่บ้านนี้ในเย็นวันนี้ เป็นข้อความการสนทนาที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่งเลยทีเดียวครับ ท่านที่สนใจ สามารถฟังความการสนทนาเต็มๆ ทั้งหมดได้จากกลุ่ม "ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ในเฟซบุ๊ค" และในคลิปที่ทาง มศพ.ทำการตัดต่อเผยแพร่ ซึ่งได้นำลงไว้ให้สำหรับท่านที่สนใจสามารถคลิกชมได้ในตอนท้ายของกระทู้นี้นะครับ

ขออนุญาตบันทึกไว้ ณ ที่นี้ อีกครั้งหนึ่ง ในเรื่องที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวแก่ข้าพเจ้า เมื่อครั้งเดินทางไปสนทนาธรรมที่ตลาดบางหลวงเมื่อหลายปีก่อนโน้นว่า ท่านชอบที่จะมีเวลาตื่นนอนตอนเช้าแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อนตื่นแต่เช้าตรู่ (แต่แม้กระนั้น ด้วยความที่ท่านต้องเดินทางไปตามคำเชิญทุกวัน ทำให้ท่านต้องตื่นแต่เช้า ไม่สามารถที่จะตื่นสายๆ สบายๆ ตามที่ท่านปรารภไว้ได้เลยในตลอดระยะเวลานานหลายสิบปีที่ผ่านมา จนบัดนี้ท่านอายุ ๙๑ ปีแล้ว ไม่เพียงแต่ยังต้องตื่นเช้าบ่อยๆ เหมือนเดิม แต่อาจจะบ่อยกว่าเดิมอีกด้วย เพราะปัจจุบันท่านเป็นยิ่งกว่าซุปเปอร์สตาร์เสียอีก กล่าวคือ ท่านมีภารกิจในการเดินทางไปสนทนาธรรมตามคำกราบเรียนเชิญ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ไต้หวันและออสเตรเลีย ที่มีกำหนดการเต็มยาวเหยียดไปจนถึงปีหน้าแล้ว)

ในครั้งนี้ที่มาเชียงใหม่ ก็มีผู้กราบเรียนท่านด้วยความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของท่าน ที่ต้องตรากตรำเดินทางไปสนทนาธรรมตามคำกราบเรียนเชิญในแต่ละสถานที่ทั้งใกล้ไกลไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งก็มักจะมีผู้กราบเรียนถามท่านด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้บ่อยมาก ซึ่งปกติท่านจะหัวเราะและกล่าวว่าอยู่ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน กล่าวคือ ที่ไหนๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ้น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก (แต่การไปในทุกที่ของท่าน จะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ ที่จะมีความเข้าใจธรรมะ) ในที่สุดท่านได้เมตตากล่าวแก่ทุกคนที่บ้านของอาจารย์ยุ้ยในวันนั้นอย่างเป็นกันเองว่า เอาอย่างนี้..ถ้าเป็นห่วงท่านจริงๆ ก็อย่าให้ท่านต้องตื่นแต่เช้า ให้ท่านได้ตื่นแบบสบายๆ ไม่ต้องมีกำหนดเวลา เพราะปัจจุบัน ไม่เพียงท่านต้องตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน แต่มีหลายครั้งมากที่ท่านต้องตื่นแต่ตีหนึ่งบ้าง ตีสองบ้าง ตีสามบ้าง เพื่อเตรียมตัวเดินทาง นี่เป็นครั้งที่สองที่ท่านปรารภให้ได้ยิน ซึ่งข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพหลายท่าน ที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปพักผ่อนและสนทนาธรรมตามสถานที่ต่างๆ ที่เมื่อได้ทราบความดังกล่าว ก็พยายามที่จะทำให้การกราบเรียนเชิญท่านไปพักผ่อนและสนทนาธรรมในแต่ละครั้ง เป็นไปด้วยความสบายๆ จริงๆ ไม่กำหนดเวลาสนทนาตายตัวเหมือนกับการสนทนาธรรมที่เป็นทางการ มีกำหนดการชัดเจน แต่สังเกตุถึงความเหมาะสมในแต่ละเวลา โดยไม่ลืมจุดประสงค์ว่าเป็นการกราบเรียนเชิญท่านเดินทางไปพักผ่อนและสนทนาธรรม (ตามอัธยาศัย ของท่าน) จึงเน้นความสำคัญที่จะให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัยจริงๆ อันจะเป็นการถนอมรักษาท่าน อย่างที่ทุกๆ คนเป็นห่วงอย่างแท้จริง

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนที่ท่านอาจารย์สนทนาที่บ้านของอาจารย์ยุ้ยในครั้งนี้มาฝากทุกๆ ท่านเพื่อพิจารณาดังนี้ครับ

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ที่ท่านอาจารย์บอกว่า ความเป็นเราอยู่ในขันธ์ทั้ง ๕ หรือ ความเป็นเราก็อยู่ในสภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏ หมายถึงว่า ความเป็นเราอยู่ใน "แข็ง" อยู่ใน "เห็น" อย่างไรครับ?

ท่านอาจารย์ ความเป็นเราและ เมื่อมีเรา ก็มีของเรา เพราะฉะนั้น "แข็ง" ที่ "เป็นเรา" ก็มี "แข็ง" ที่เป็น "ของเรา" ก็มี เพราะ "มีเรา"
อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์พูดเมื่อกี้ก็ยิ่งดูมากมายว่า ความเป็นเราอยู่ในสภาพธรรมะมากมายเหล่านี้อย่างครบถ้วนความเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้อย่างนี้ เราจะรู้ไหมว่า ฟังเพื่อเข้าใจ "เข้าใจ" ก็ไม่ใช่เรา เพื่อความเข้าใจนั้นจะได้ทำหน้าที่ของความเข้าใจ ที่จะไปละความเป็นเรา!!
อ.อรรณพ ความเป็นเราอยู่ใน สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ความรู้สึกนึกคิด อะไรทุกอย่างหมด ยังครบถ้วน

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แค่วันนี้ ไม่ใช่แค่วันนี้!! ที่เป็นเรา!! คิดดู ไม่ใช่แค่วันนี้ ไม่ใช่แค่ปีนี้ ไม่ใช่แค่ชาตินี้ นานเท่าไหร่ในสังสารวัฏ!!! เพราะฉะนั้น การที่จะค่อยๆ ละความเป็นเรา ก็มีทางเดียวคือ "เข้าใจ" ซึ่ง ไม่ใช่เรา!! เป็นปัญญาเจตสิก ซึ่งจะทำหน้าที่ของปัญญา ใครทำหน้าที่แทนปัญญาไม่ได้เลย โลภะอยากจะมีปัญญาสักเท่าไหร่โลภะก็ทำหน้าที่แทนปัญญาไม่ได้!! ปัญญาอย่างเดียว!! เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเข้าใจ ก็คือ หลังจากนั้นจะเป็นอะไร ก็เป็นธรรมะ!!

ถ้าจะรู้ความน่าอัศจรรย์ของธรรมะ ธรรมะหนึ่งเกิด ธรรมะหนึ่งที่เกิดนั้นดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นจิต ไม่ว่าจะเป็นเจตสิก ไม่ว่าจะเป็นรูป ไม่ว่าจะชาติไหนขณะไหน นับประมาณธรรมะไม่ได้เลย จิตเมื่อกี้นี้เอง แค่เมื่อกี้นี้ ก็ปรุงแต่งให้เป็นจิตขณะนี้แล้ว!!

เมื่อตอนแรกเราฟังแล้วเราคิด ใช่ไหม? พอคิดแล้วเราก็ถาม ถามแล้วเราก็คิด ก็ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ก่อนฟัง พอฟัง คิดเรื่องที่ฟัง แล้วก็ถามต่อเรื่องที่ฟัง แล้วก็เข้าใจเรื่องที่ฟัง แล้วก็ปรุงแต่งต่อไปอีก คิดเรื่องที่ฟัง เรื่องอื่นต่อไปอีก ไม่มีวันจบสิ้น!!

เพราะฉะนั้นห้ทราบความละเอียดว่า ที่เราฟังนี้เราเผินไม่ได้เลย ธรรมะมีแน่นอน ถ้าไม่มีธรรมะ จะมีอะไรไหม? โลกจะมีไหม? เราจะมีไหม? สิ่งของต่างๆ จะมีไหม? ก็ไม่มี!! แต่เมื่อมีธรรมะเกิดขึ้น โลกเกิดขึ้น!! เพราะฉะนั้น โล-กะ หมายความถึงสภาพธรรมะที่เกิด-ดับ ถ้าว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย โลกก็ไม่มีเลย แต่แม้ดวงดาว แม้ดวงจันทร์ แม้ทะเลมหาสมุทร ก็เป็นธรรมะที่เกิด เป็นอย่างนั้น อย่างนั้น

และแม้แต่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม ไม่เว้นเลย สิ่งที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก แต่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด ไม่จบ ไม่สิ้นสุดเลย ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม โดยไม่ซ้ำกันเลย แม้แต่หนึ่งขณะ จึงประมาณไม่ได้ว่าจิตมีเท่าไหร่ แม้แต่คนหนึ่ง เห็นก็ไม่ใช่ได้ยิน เห็นดับแล้ว จิตก่อนเห็นต้องดับก่อน แล้วถึงมีจิตเห็น พอจิตเห็นดับ จิตอื่นก็เกิดสืบต่อ ทีละหนึ่งขณะ ไม่กลับมาอีกเลย

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ค่อยๆ รู้ในความไม่ใช่เรา เป็นประโยชน์ เพราะว่า ค่อยๆ สะสมความเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ถึงจะเข้าใจธรรมะ ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา!! เพราะปัญญาก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรเหลือเลย

เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือฟังธรรมะให้จรดกระดูก ให้ลงไปถึงใจ ไม่มี!! ถ้ามีก็ติดข้อง!! ไม่ว่ามีอะไรทั้งหมด!! สักอย่างก็ติดข้อง!! มีโต๊ะก็ติดข้อง มีดอกไม้ก็ติดข้อง มีคนก็ติดข้อง ติดข้องหมดเมื่อมี แต่ถ้าไม่มี จะติดข้องได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงที่ถูกที่สุดก็คือว่าไม่มี สุญญตา อนัตตา เพราะว่านี่มีแล้วจะบอกว่าไม่มี แต่ถ้าบอกว่าสิ่งที่มีนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก ไหนล่ะ? เหมือนก่อนเกิดมีเสียง ไม่มีเสียง พอเสียงเกิดแล้ว เสียงก็หมดไป ไหนเสียง? ก็ไม่มีใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็คือ ไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่ ถ้ายังคงคิดว่ามี อย่างเราเวลานี้นั่งอยู่ที่นี่ มีดอกไม้มีอะไร ก็ติดไปหมด เพราะมี!! แต่ถ้าไม่มี แค่เห็นแล้วดับ สิ่งที่เห็นนั้นไม่มีอีกเลย ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น ก็จะค่อยๆ ละคลายว่า แม้การฟังธรรมะก็รู้ว่าไม่มีสักอย่าง มีแต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดมีแล้วก็ดับไป เท่านั้นเองในสังสารวัฏ!!!

คำไหนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่ผิด เพราะตรัสรู้ถึงที่สุด อย่างละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เราเห็นสิ่งหนึ่ง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่หนึ่งเดียว ยังมีสิ่งอื่นรวมอยู่ในสิ่งนั้น แต่ไม่ปรากฏ อย่างเราเห็นดอกไม้หนึ่งดอก กี่กลีบ? แค่นี้ แค่กลีบเดียว แตกย่อยจนเป็นสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง ละเอียดยิบ แต่ที่ใดที่มีอ่อนหรือแข็ง ที่นั่นมีสิ่งที่กระทบตาได้ ให้รู้ว่ามีแข็งอยู่ตรงนั้น แต่แข็งไม่ได้กระทบตา แต่สิ่งที่อยู่ตรงแข็งที่กระทบตา แสดงสีสันวรรณะว่ามีสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น สีสันวรรณะต้องอยู่ที่มหาภูตรูป แต่ปรากฏเพียงหนึ่งคือสี แต่ตัวมหาภูตรูปแม้มีก็ไม่ปรากฏ แสดงว่าการตรัสรู้ของพระองค์ เพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏ พระองค์ตรัสรู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ในที่นั้น ซึ่งเกินกว่าหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก เพราะสีก็ไม่ใช่แข็ง แล้วก็มีกลิ่นด้วย กลิ่นก็ไม่ใช่สี แล้วก็มีรสด้วย รสก็ไม่ใช่แข็ง

เพราะฉะนั้น ทรงตรัสรู้สภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง อย่างละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อให้รู้ว่าไม่มี แล้วก็เกิดมี แล้วก็หามีไม่ ถ้าใจของเราน้อมไปสู่ความไม่มี เราละแน่!! แต่ว่าที่เรายังติดอยู่ก็เพราะมีให้เห็นว่าไม่ได้ดับ แม้เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ เรายังคงติดข้องอยู่

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะจากนี้ไปจนถึงปัจจัยที่ทำให้มี ก็ยิ่งเห็นความเป็นสิ่งซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ จะบังคับไม่ให้จิตเกิดได้ไหม? เกิดแล้ว!! บังคับไม่ให้เจตสิกเกิดได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย บังคับให้รูปไม่ไเกิดได้ไหม? ไม่ได้ จึงต้องมีจิตเจตสิกเกิดดับไม่รู้จบ โดยบังคับบัญชาไม่ได้เลย เป็นอนัตตา แต่ว่างเปล่าจากความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน จึงมีคำว่า "สุญญตา" และถ้าเราคิดถึงความไม่ใช่เรา แต่ว่าลืมไปว่า แม้สิ่งที่มีก็หามีไม่อีกต่อไปในสังสารวัฏ หายไปเลย สูญไปเลย จะค่อยๆ ละคลายการติดข้อง ที่เราเรียน เราเรียนสิ่งที่มี แต่ว่าสิ่งที่มีนั้นก็ แค่มีตรงที่มี แล้วก็หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย หาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏ!!

ค่อยๆ สลด "สลด" ที่นี่คือ "ปัญญา" ที่รู้จริงๆ ว่า ไม่มีอะไรที่มีค่า เพราะเหตุว่า เกิดขึ้นแล้วเป็นที่ตั้งของความยึดถือ ด้วยความไม่รู้และความติดข้อง เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังเกิดต่อไปในสังสารวัฏก็ยิ่งเพิ่มพูนกิเลสต่อไป และถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้หนทางที่จะออกจากสังสารวัฏได้ จบสิ้นการเกิดไม่ได้ แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ดับปัจจัยที่จะทำให้เกิดทั้งหมด เพราะฉะนั้น เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับ ไม่มีการที่จะเกิดอีกต่อไป

เพราะผู้นั้นประจักษ์แจ้งว่าไม่มี มีเมื่อเกิด เดี๋ยวนี้ ที่เรากำลังอยู่ที่นี่ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นแค่นี้ หลับตา ลืมตาใหม่ ไม่ใช่อันเก่าแล้ว แค่หลับตานิดเดียว สิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเก่า นี่เป็นความจริงขั้นฟัง ซึ่งค่อยๆ สะสมที่จะให้ถึงความไม่มีเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลองคิดดูว่าวันนี้ทั้งวัน เราห้ามไม่ให้อะไรเกิดได้ไหม? ไม่มีเลย แต่ไม่รู้สักอย่างว่า ห้ามไม่ได้!! คิดว่าเป็นเราทำได้หมดทุกอย่าง ทำเสร็จแล้วด้วย!! ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ปกปิดไว้มากมายมหาศาล ต้องอาศัยการฟังด้วยความแยบคาย ว่าธรรมะเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้ ใครที่มีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้รู้ได้เลยว่า สิ่งนั้นไม่มี แล้วยังติดข้อง เหมือนยังมีอยู่ ฉลาดไหม? ถ้าจะใช้คำตรงๆ ก็คือว่า "โง่" เพราะไม่ใช่เรา "อวิชชา ความไม่รู้-โง่" ตรงกันข้ามกับปัญญา จะเปลี่ยนอวิชชาให้ฉลาด ให้รู้ ก็ไม่ได้ แต่ปัญญาค่อยๆ รู้ขึ้น อวิชชาก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไป

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตาม ไม่เหลือ ชาตินี้เกิดเป็นเราได้ชาตินี้ชาติเดียว และกำลังไม่เหลือทุกขณะ!! "เห็น" เมื่อกี้นี้หมดแล้ว "คิด" เมื่อกี้นี้หมดแล้ว "รู้สึกพอใจ ไม่พอใจ" เมื่อกี้นี้หมดแล้ว หมดแล้วไม่กลับมาอีกด้วย แต่มีสังขารขันธ์ปรุงแต่งใหม่ให้เป็นสิ่งที่เหมือนมีอยู่ตลอดเวลาพียงแต่เปลี่ยนไปในความรู้สึกของเรา เหมือนมีอยู่ตลอดเวลา แต่เปลี่ยนไป แต่ลึกกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่เปลี่ยนไป แต่หมดไปแล้วก็เกิดใหม่ ไม่ใช่อันเก่าเลย แล้วก็มากมายมหาศาล จนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรดับไปเลย!!

คุณชุมพร นึกถึงคำถามของตัวเอง ความเข้าใจไม่เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง ท่านอาจารย์คะ ฟังเข้าใจ ทันทีทันใด ความไม่รู้ ความเป็นตัวเรา มันแทรกเข้ามา ซึ่งตัวเองก็ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เห็นความเป็นอนัตตาไหม? ได้ยินจนชินหู แต่ไม่ชินกับความเป็นอนัตตา และลักษณะของอนัตตาเลยสักอย่าง ที่คิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจนของความคิดว่า ใครห้ามคิดได้?

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะของแต่ละคน ต่างกันมาก ส่วนใหญ่ ถ้าไม่เข้าใจจะแต่ง ต่อ เติม แค่คำเดียว พูดว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ยาวมาเลย ทั้งแต่ง ทั้งต่อ ทั้งเติม แต่ว่า ถ้าไม่แต่ง ไม่ต่อ ไม่เติม ฟังคำต่อไป ไม่มีความคิดของตัวเองเข้ามาแทรก เหมือนขยะ แล้วกว่าจะเอาขยะที่เป็นความคิดของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกไป ให้ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ขยะที่แทรกเข้ามา ทำให้ไม่เข้าใจธรรมะ!!

เพราะฉะนั้น เวลาฟังจะเห็นได้เลย แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ทอดพระเนตรลงต่ำ เพราะว่าคนอื่นนั่งต่ำกว่าพระองค์ ตรัสคำด้วยพระมหากรุณา " ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ... " เพราะว่า ใครกำลังคิดอะไรอยู่ก็ได้ ก่อนฟัง หรือแม้ฟังแล้ว คิดอะไรอยู่ก็ได้ ใช่ไหม? แต่เตือนว่า พระองค์กำลังจะตรัสคำนี้ เพราะฉะนั้น ควรที่จะฟังคำของพระองค์ แต่ก็ยาก เพราะว่าสภาพธรรมะที่สะสมมา สะสมมาแล้ว จะให้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เป็นไปไม่ได้!!

ปัญญาทุกระดับ ความคิดสามารถแทรกเข้ามาได้ โดยความเป็นอนัตตา เพื่ออะไร? ให้เห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น ไม่ให้เดือดร้อนว่า ทำไมเราไม่ฟัง!! เผลอไปอีกแล้ว อย่างนั้นอย่างนี้ นั่นก็คือ ความเป็นตัวตน

เพราะฉะนั้น ตัวตนต้องหมดเกลี้ยงจริงๆ ไม่เหลือเลย ไม่ว่าที่รูป ที่ความรู้สึก ที่ความจำ เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังจำ ไม่ปรากฏลักษณะจำให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงแม้ขณะกำลังจำเดี๋ยวนี้ เมื่อจำไม่ได้ปรากฏ แล้วจะไปรู้ว่าจำไม่ใช่เราได้อย่างไร? เป็นแค่สภาพที่เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น คำว่าธรรมะอย่างหนึ่ง ก็จะต้องแยกประเภทเป็น นามธรรมและรูปธรรม เพราะว่าลักษณะของนามธรรมทั้งหมด ไม่มีรูปธรรมใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น "คิด" มีรูปไหนมาเจือปน? "ได้ยิน" มีรูปไหนเจือปน? เสียงไม่ใช่ได้ยิน และขณะนั้นก็เป็นธาตุที่ได้ยินเสียง แต่ต้องมีเจตสิกที่เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ใครรู้? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเลย ที่จะรู้ว่าเป็นธรรมะ มีแต่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นความสนใจด้วยความเป็นเรา แต่ลืมว่า "ฟังเพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา" จะเข้าใจแค่ไหนก็ตาม คือ ไม่ใช่เรา โดยความเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น จึงต้องไม่ลืม "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" คำนี้ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะแม้คิดเรื่องอื่น ก็เป็นอนัตตา กำลังเข้าใจ ก็เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่เรา มีแค่ขณะที่เกิด แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ปรุงแต่งตลอดเวลา

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ ดร.มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ และครอบครัว
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

... ... ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มกร
วันที่ 10 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 11 ก.พ. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kullawat
วันที่ 12 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 12 ก.พ. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 13 ก.พ. 2561

ขอบคุณมากและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 15 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 17 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chvj
วันที่ 3 เม.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ