ช่วยบอกถึงความแตกต่างอย่างละเอียดของสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้หน่อยครับ

 
pathai
วันที่  30 ต.ค. 2559
หมายเลข  28322
อ่าน  1,072

1. ใจ

2. จิต

3. วิญญาณ

ขอขอบคุณ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 30 ต.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ใจ (มน) วิญญาณ จิต คือ สภาพธรรมที่มีจริง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่มีจริง ที่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ แม้พยัญชนะต่างกัน แต่แสดงถึงสภาพธรรมอย่างเดียวกัน

มนะ น้อมไปสู่อารมณ์ คือ รู้อารมณ์ ความเป็นจริงของจิต คือ น้อมไปสู่อารมณ์ โดยความเป็นใหญ่เป็นประธาน ในขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็ประกอบพร้อมด้วยเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบกับจิต) แม้จะเกิดร่วมกัน แต่สภาพธรรมที่เป็นใหญ่จริงๆ คือ จิต

จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานเพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต นั่นเอง จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ชั่วขณะสั้นๆ นั้น มีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ต้องมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วย ต้องมีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด ต้องมีอารมณ์ คือ สี ซึ่งเกิดก่อนแล้ว และมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีจิตเห็นเกิดขึ้น, จิตเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครบังคับหรือทำให้เกิดขึ้นได้เลย

วิญญาณ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ มีพยัญชนะหลายคำที่หมายถึงนามธรรมประเภทนี้ เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น พยัญชนะหนึ่งในนั้น คือ วิญญาณ ดังนั้น จิตกับวิญญาณจึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน วิญญาณไม่มีการล่องลอย ไม่มีรูปร่าง แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และเมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องรู้อารมณ์ ตามควรแก่จิตหรือวิญญาณประเภทนั้นๆ เช่น จักขุวิญญาณ (จิตเห็น) ก็รู้สี โสตวิญญาณ (จิตได้ยิน) ก็รู้เสียง เป็นต้น ชีวิตประจำวัน จึงไม่ปราศจากวิญญาณเลยแม้แต่ขณะเดียว เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึก จิตเกิดเป็นอกุศล จิตเกิดเป็นกุศล ล้วนแล้วแต่เป็นวิญญาณ แต่ละชนิดๆ โดยไม่ปะปนกัน

ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Noparat
วันที่ 30 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 31 ต.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Tommy9
วันที่ 1 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 1 พ.ย. 2559

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ถ้าใจไม่ดีจะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม ความทุกข์ย่อมติดตามผู้นั้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 1 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ ่

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
แสวงรวยสูงเนิน
วันที่ 26 ม.ค. 2560

ขอบพระคุณครับ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
doungjai
วันที่ 12 ก.พ. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
p.methanawingmai
วันที่ 21 เม.ย. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
kullawat
วันที่ 22 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ