มีผู้นับถือพระพุทธศาสนาโดยไม่เข้าใจคำสอน

 
ธรรมทัศนะ
วันที่  13 ก.พ. 2550
หมายเลข  2826
อ่าน  2,033

ประเทศไทยมีผู้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ในทะเบียนบ้าน มากมาย โดยไม่เข้าใจคำสอนของพุทธองค์ มีศรัทธา แต่ไม่เข้าใจหนทางการอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ศึกษาพระธรรมนั่นเอง แม้ในกลุ่มที่มีการศึกษาพระไตรปิฎก ศึกษาพระอภิธรรม ก็ยังปฏิบัติผิดเป็นจำนวนมาก เพราะคนเหล่านั้น คิดว่า การปฏิบัติธรรม ต้องมีรูปแบบ ต้องมีข้อปฏิบัติ เป็นข้อๆ ต้องนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ต้องเดินจงกรม ต้องเข้าห้องปฏิบัติ มีระยะเวลาไปเข้าอบรม ปฏิบัติธรรม ....ฯลฯ ล้วนเป็นความเห็นผิดทั้งนั้นครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
natnicha
วันที่ 14 ก.พ. 2550

คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ หรือ ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธก็ตาม ที่มักจะไปนั่งสมาธิเดินจงกรม หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าไปปฏิบัติธรรมนั้น อาจจะมีสาเหตุหนึ่งมาจากผู้สืบทอดศาสนา คือ พระสงฆ์ ที่ถ่ายทอดคำสอนไปในทางที่ไม่ตรงกับหลักพระพุทธ-ศาสนา เพราะที่เห็นส่วนมากที่คนส่วนใหญ่ไปปฎิบัติธรรมกัน ก็จะมีพระสงฆ์คอยให้คำแนะนำ และคนส่วนใหญ่ก็จะนับถือพระสงฆ์มากกว่าฆราวาสที่มาบรรยายธรรม และอาจจะมองข้ามว่าหลักคำสอน จุดประสงค์ที่แท้จริงของคำสอนองค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคืออะไร และอีกข้อหนึ่งที่คนบางส่วนไปนั่งสมาธิ กัน เพราะอาจจะเห็นผลในโลกปัจจุบัน เร็วกว่าที่จะมานั่งฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจในธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธ-เจ้าซึ่งเห็นผลช้ากว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
bluebaker
วันที่ 14 ก.พ. 2550

เป็นเรื่องยาก ผมว่ายากจริงๆ นะครับ เพราะเราๆ ท่านๆ ก็ ไม่ได้มีปัญญามากมายพอที่จะศึกษาแล้วปฏิบัติให้หลุดพ้น หรือแม้แต่จะศึกษาให้เพียงแค่เข้าใจ หรือแย่กว่านั้นก็คือตัดสินไม่ได้เลยว่าแนวปฏิบัติใดคือแนวที่ถูกต้อง สับสนมากๆ อันนี้เป็นจุดบอดอย่างใหญ่หลวงของศาสนาที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดศาสนาของโลก

ผมศึกษาและปฏิบัติมาก็หลายปีแล้ว คือตั้งแต่ราว 2539 โดยเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของญาติท่านหนึ่ง มารู้ทีหลังว่าท่านปฏิบัติธรรมตามแนวของพระป่า ปัจจุบันท่านก็รู้แล้วว่าทางนั้นมันตันครับ ไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ

สติปัตฐานตามแนวของท่านอาจารย์สุจินต์นี่เกิดยากจริงๆ ครับ บางท่านที่ดูว่ามีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างดีเยี่ยม ท่านยังบอกว่าสติท่านเพิ่งเคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเอง ได้ยินเท่านี้ผมก็ให้อ่อนใจเลยครับว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ ไม่ใช่สติเกิดนะครับ เอาแค่เข้าใจนี่ยังยากเลยครับ ผมเข้าใจว่าสติก็คือการรู้สึกตัวทั่วพร้อมเท่านั้น

แต่สติปัตฐานนี่คงจะเป็นสติที่มีอยู่กับกาย เวทนา จิต หรือธรรม ก็น่าจะเป็นสติ-ปัฏฐานแล้วครับ ไม่น่าจะเกิดยากอะไรเลย เพียงแต่ว่าเราศึกษามากๆ ฟังมากๆ ตรึกตรองธรรมะให้มากๆ ให้เคยชินจนเป็นอัตโนมัติ มันก็จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เองตามธรรมชาติไม่มีใครไปบังคับให้สติมันเกิดขึ้นได้หรอก ทำไม่ได้ แต่ปฏิบัติเพื่อให้มันเคยชิน เสพคุ้น แล้วมันจะเกิดบ่อยๆ ได้เอง ผมเข้าใจผิดตรงไหนตอบด้วยครับ

ผมจบปริญญาโททางวิทยาศาสตร์ครับ และพบแล้วว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียว ที่จะพาสัตว์โลกพ้นทุกข์ไปได้ โดยจะไม่มีวันเปลี่ยนใจครับ ความรู้ทางโลกทางวิทยาศาสตร์ก็จะเจริญของเขาไปเรื่อย แต่ไม่มีที่สิ้นสุดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
devout
วันที่ 14 ก.พ. 2550
ศาสนาพุทธไม่มีจุดบอดหรอกค่ะ แต่จุดบอดคือ อวิชชาที่สะสมมาทั้งหนาและลึก การศึกษาธรรม ท่านต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมคืออะไร และสติคืออะไร มิเช่นนั้นก็คงอบรมเจริญปัญญาต่อไปไม่ได้

เป็นเรื่องจริงค่ะที่ว่าสติปัฏฐานเกิดยาก และจะไม่เกิดเลย ถ้าผู้นั้นเต็มไปด้วยความหวังหรือความต้องการ เพราะแม้ขณะนั้นจิตเป็นอกุศลคือโลภะเกิดก็ไม่รู้ ต้องไม่ลืมนะคะว่า โลภะเป็นทุกขสมุทยสัจจะซึ่งเป็นสิ่งที่ควรละ อยากเมื่อไหร่เมื่อนั้นกั้นกุศลทันที แล้วสังสารวัฏฏ์จะยืดยาวออกไปไกลอีกซักแค่ไหน หนทางที่ถูกต้องคือค่อยๆ ศึกษาอบรมสะสมปัญญาไปทีละเล็กละน้อย เมื่อเหตุสมควรแก่ผลเมื่อไหร่ แม้ไม่อยากก็ต้องได้ค่ะ

ขออนุโมทนาที่เห็นประโยชน์และคุณค่าของพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 15 ก.พ. 2550

ปัจจัยที่ทำให้มีความเห็นผิด ก็เพราะฟังธรรมของอสัตบุรุษและคบกับอสัตบุรุษ แต่

การที่จะได้พบสัตบุรุษหรืออสัตบุรษก็อยู่ที่บุญที่เคยทำไว้ในปางก่อน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 15 ก.พ. 2550

เพราะสติเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อเหตุปัจจัยสะสมถึงพร้อมก็เกิดขึ้น ไม่เลือกสถานที่หรือเวลา และดับไปอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ตามสภาพของธรรมะทั้งหลายที่เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา และคำว่าสติในที่นี้ก็ไม่ใช่สติสัมปชัญญะธรรมดาๆ ทั่วไปในภาษาไทยที่เข้าใจกันเลย และเป็นคนละอย่างกับสติขั้นคิดนึก และเพราะสติที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าการกระพริบตา เมื่อเหตุถึงพร้อมนั้นเอง จะทำให้ได้รู้ว่าอวิชชานี้ปกปิดสภาพธรรมตามความเป็นจริงไว้อย่างหนาแน่น มิดชิดเพียงใด ทะเลที่ว่าลึกสุดลึก มนุษย์นี้ยังหาวิธีวัดจนได้ แต่ความไม่รู้คือ อวิชชาที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องว่ายวน จมๆ โผล่ๆ อยู่ในห้วงน้ำแห่งสังสารวัฏฏ์นี้ ทั้งลึกยิ่งกว่าลึก และมืดยิ่งกว่ามืด

หากไม่ใช่เพราะพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีทศพลญาณทรงตรัสรู้แล้ว พวกเราคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมเครื่องออกจากทุกข์ คือ สัง-สารวัฏฏ์ พระองค์ทรงแสดงธรรมที่ยากแก่การเข้าถึงของบุคคลผู้ไม่ได้สั่งสมอบรมมานั้นจริง การต้องใช้เวลาสั่งสมอบรมเจริญปัญญาต้องใช้เวลานานแสนนานกว่าจะเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระองค์ได้นั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เวลาสี่อสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ นับเป็นตัวเลขไม่หวาดไหว สมัยนี้มนุษย์มีอายุขัยไม่เกินร้อยปี แค่ได้มีโอกาสพบพระศาสนาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยากแล้ว จะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนของพระองค์ยิ่งยากกว่า ศึกษาแล้วเข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้แม้เพียงเสี้ยวเล็กๆ ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ยังไม่ต้องนับถึงการศึกษาพระธรรมจนถ่องแท้และเข้าสู่มรรคผลโดยลำดับจนบรรลุธรรมสูงสุด คือ พระอรหันต์ นั่นยิ่งกว่ายากขึ้นไปอีก กว่าจะได้เป็นผู้รู้ตาม ยังต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานมากๆ ค่อยๆ ศึกษาอบรมไป ความเข้าใจถูกทีละนิดทีละน้อย ถึงแม้ต้องใช้เวลานานหน่อย (คือ อาจจะใช้เวลาเป็นหลายกัปป์) อย่างไรเสียก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจ เหตุถึงพร้อม ผลย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่ดี แต่หากเข้าใจผิด สะสมผิดทีละนิดทีละน้อย แม้ไม่อยากหลงทางไกล ไม่อยากเข้าสู่ทุคคติ เมื่อสะสมเหตุไว้ ก็ย่อมต้องได้รับอีกเช่นกัน ขออนุโมทนาที่เห็นคุณค่าของพระศาสนาและพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ค่ะ

หมายเหตุ ดิฉันก็ยังคงเป็นปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลสและความไม่รู้ มี โลภะ โทสะโมหะ อยู่ครบถ้วน จึงยังต้องศึกษาขัดเกลาและอบรมอีกนานมากๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 15 ก.พ. 2550

ขออนุโมทนาในความเห็นที่ ๓ และขอเล่าเรื่องส่วนตัวเผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างว่า ก่อนที่จะได้มาฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์ ก็ได้เคยศึกษา (โดยการอ่าน) และฟังการบรรยาย (เทศน์) จากพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงหลายๆ ท่าน ก็เข้าใจในธรรมะส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่คลายสงสัยในหลายๆ เรื่อง เช่น ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เดิมก็คิดว่าเข้าใจอย่ายึดมั่นถือมั่น ก็คิดว่าเข้าใจว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แต่ทั้งหลายเหล่านี้ไม่เคยได้ความกระจ่าง (หรือจะเรียกว่าไม่เคยได้รับคำอธิบาย) เลยว่าที่ว่าเมื่อไม่ใช่ตัวเราแล้วเป็นอะไร? (หรือเป็นใครกันแน่?) และที่ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น นั้น ทำไม ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น (เราคือใคร?กันแน่) ดังนี้เป็นต้น ยิ่งที่ท่านพูดถึงพระป่า (บางองค์) ผมก็เพียรฟังอยู่นานพอควร ฟังๆ ไปก็ไม่เข้าใจว่า ที่แท้แล้วพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อะไรกันแน่ และก็ไม่เคยได้ยินว่าท่านจะแสดงหนทางที่ชัดเจน เป็นขั้นเป็นตอน ในการศึกษาธรรมะเลยกลายเป็นเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้นกระมัง? อย่างนี้กระมัง? ที่น่าเศร้าใจอย่างหนึ่งที่เคยพบมาด้วยตนเองก็คือ มีผู้ถาม ท่านผู้ที่ชอบไปปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งว่าธรรมะคืออะไร? ท่านตอบว่า ธรรมะคือคุณากร แล้วคุณากรน่ะมันคืออะไร?

สำหรับผม นับเป็นบุญที่ได้สั่งสมมาให้ได้มีความเพียรที่ได้แสวงหาหนทางที่ถูกนี้จนพบ แม้ว่าจะได้มีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนกี่มากน้อยก็ไม่คาดหวังเลย เท่าไหร่เท่านั้น ขอสมัครที่จะฟังเป็นส่วนมาก

ขออนุโมทนากับทุกท่านอีกครั้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
unknown
วันที่ 17 ก.พ. 2550
ไม่มีใครขี่จักรยานเป็นตั้งแต่เกิด
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 17 ก.พ. 2550

ไม่ทราบว่าท่านหมายความว่าอย่างไรครับ ท่านความเห็นที่10 ไม่ต้องอาย หรือ กลัวอะไรนะครับ สำหรับความเห็นถูกคือถูกตามสภาพธรรมะ ความเป็นจริง ไม่ถูกคือไม่ถูกคงไม่มีใครว่าใครเพราะไม่มีใครจะให้ว่า เราสนทนาเพื่อความเข้าใจนะครับ อย่ากลัวถ้าจะแสดงความเห็น ยินดีรับฟังครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pamali
วันที่ 25 ก.ย. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ