ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๖

 
khampan.a
วันที่  8 พ.ค. 2559
หมายเลข  27767
อ่าน  3,039

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๖

~ เบื้องต้นของปัญญาซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องฟัง ผู้ที่เป็นสาวกทุกท่านต้องฟังพระธรรม และสำหรับแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตชาติก่อนๆ พระองค์ก็ต้องเป็นพหุสูต ต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม คล้อยไปตามความเป็นจริงของสภาพธรรมได้


~ กุศลจิตไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ขณะไหน วัยไหน ก็ตามเป็นที่ๆ ควรแก่การอนุโมทนา เพราะฉะนั้นเราก็จะได้อนุโมทนาในกุศลจิตของผู้ที่มีศรัทธา โดยที่ว่าถ้าขณะใดเกิดความคิดที่ไม่อนุโมทนา ขณะนั้นก็เป็นอกุศล

~ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมติดตามเหมือนเผ่าพันธ์วงศ์ญาติ ที่คอยอุปถัมภ์หรือเบียดเบียน กรรมดีก็เหมือนวงศ์ญาติที่ดี กรรมชั่วก็เหมือนวงศ์ญาติชั่ว ความจริงนั้น กรรมเท่านั้นที่เป็นเผ่าพันธ์วงศ์ญาติที่แท้จริงของผู้ทำกรรม เพราะเมื่อกรรมใดมีโอกาสให้ผล แม้แต่พ่อแม่พี่น้อง หรือผู้ที่รักก็ช่วยเหลือแก้ไข หรือเบียดเบียนผลของกรรมนั้นไม่ได้ การได้รับสุข ทุกข์อันเป็นผลของกรรมของแต่ละคนนั้น ย่อมเป็นไปตามกรรมของผู้นั้นเอง ทุกคนจึงมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติที่แท้จริง


~ กรรมดีและกรรมชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้ย่อมเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของผู้นั้น ญาติ พี่น้อง มิตรสหายหรือผู้ศักด์สิทธิ์ ก็เป็นที่พึ่งให้ไม่ได้เลยเพราะเมื่อถึงโอกาสกรรมให้ผล ไม่มีใครขัดขวางการให้ผลของกรรมได้เลย


~ ขณะที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ทุกคนก็อยู่ภายใต้ ลมฟ้า อากาศ ถูกแดดเป็นอย่างไร? ร้อน ไม่พอใจแล้ว ก็แสดงให้เห็นว่าความไม่พอใจ ความขุ่นเคืองใจนี้ มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น อย่างรวดเร็วจริงๆ ถ้าไม่สังเกตจะคิดว่า เป็นแต่เพียงในขณะที่โกรธเคืองขุ่นข้องใจ กับสัตว์ บุคคลต่างๆ เท่านั้น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย จะต้องเป็นผู้ละเอียด ที่จะรู้ลักษณะของ โทสะจริงๆ แม้ในอารมณ์ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล โทสะก็เกิดขึ้นได้

~ ถ้าใครเป็นผู้มักโกรธ ขุ่นเคืองใจไม่พอใจบุคคลอื่นง่ายๆ หรือว่าไม่ลืม ความโกรธ ความขุ่นเคืองนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่าพบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียว จริงๆ แล้วจะไม่พบกันอีกเลย เพราะฉะนั้นควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือว่าควรจะโกรธกัน เพราะว่าการเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า จะเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่า อาจเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน แล้วมีความเมตตากรุณาต่อกัน


~ ชีวิตของทุกท่านในขณะนี้ซึ่งกระดูกทุกชิ้นยังรวมกัน
ประกอบด้วยเลือดเนื้อ ยังไม่กระจัดกระจาย ก็ควรที่จะทำประโยชน์ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นการประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้


~ ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจต่อพระธรรม คือ ผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง นี่คือความจริงใจในการศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้หรือเก่ง หรือเพื่อความสำคัญตน

~ ถ้าจะอภัยให้ใคร ก็จะอภัยชาติหน้า ไม่สำเร็จ ถ้าชาตินี้ยังไม่อภัย ชาติหน้าจะอภัยได้อย่างไร ถ้าชาตินี้ยังไม่เริ่มที่จะละคลายโลภะ โทสะ โมหะบ้าง แล้วก็หวังว่า ไว้ชาติหน้าจะละคลาย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่จริงใจ คือ พยายามที่จะประพฤติปฏิบัติตาม แม้ว่ายังไม่ได้ดับกิเลส ยังมีกิเลสอยู่ แต่ก็มีความจริงใจที่จะศึกษาให้เข้าใจพระธรรม และประพฤติตามพระธรรมเพื่อที่จะละคลายกิเลส

~ ถ้าตั้งใจฟังจริงๆ จะได้รับประโยชน์เต็มที่ แต่ถ้าฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เผลอบ้าง นึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง เมื่อกี้นี้พูดอะไร ลืมไป ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟังพระธรรม ก็ไม่เต็มที่

~ เมื่อระลึกถึงอดีตชาติของท่านพระสาวกทั้งหลาย ก็จะเห็นได้ว่า ก่อนที่ท่านจะมีความอดทนถึงอย่างนั้น ท่านก็เป็นผู้ที่มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีอกุศลมากมายเหมือนอย่างทุกท่านที่นี่ แต่ว่าท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีปัญญา และเห็นคุณของความอดทน เห็นคุณของกุศลทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านก็มีความอดทนที่จะอบรมเจริญกุศลทุกประการ จนในที่สุดบารมีทั้งหลายก็ถึงที่สุด ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

~ ใครจะเป็นเพื่อนที่แท้จริง ก็ลองพิจารณาดู ทุกคนอยากมีเพื่อนแท้ แต่ในขณะเดียวกันท่านเป็นเพื่อนแท้ของคนอื่น ซึ่งท่านมีธุระของเพื่อนแท้ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะกระทำเพื่อความไม่ขุ่นเคือง ไม่ขุ่นข้องแล้วท่านทำ ไม่ใช่ทอดธุระ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ธุระอะไรของท่าน นั่นคือผู้ที่ประเสริฐ

~ สำหรับผู้มีปัญญา จะพิจารณาชีวิตของตนเองในชาติหนึ่งๆ ได้ว่า ทุกสถานการณ์ต้องมีความอดทนอย่างมาก อดทนที่จะไม่เศร้าโศก อดทนที่จะไม่ขุ่นเคืองใจ เสียใจ น้อยใจในการกระทำในคำพูดของบุคคลอื่นในทุกสถานการณ์



~ แต่ก่อนนี้อาจจะสงสัยว่า อวิชชาอยู่ที่ไหน พูดถึงแต่อวิชชาๆ วันหนึ่งอวิชชาอยู่ที่ไหนบ้าง แต่ผู้ที่มีปัญญาสามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ที่ไม่รู้อย่างนั้น ก็เพราะอวิชชา เวลาที่มีความยินดีพอใจในสิ่งที่เห็น มีความยินดีพอใจเกิดขึ้น จนไม่รู้ว่า แม้ขณะนั้นก็มีอวิชชา ในขณะที่กำลังสนุก ในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน ในขณะที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความพอใจ รื่นเริงที่เป็นโลภะ ขณะนั้นก็มีอวิชชาเกิดร่วมด้วย

~ ถ้าท่านเห็นต้นไม้ที่ใหญ่ต้นหนึ่ง มีรากลึก แล้วไม่มีศาสตรา ทำอย่างไรถึงจะฟันต้นไม้ต้นนั้นได้ เหมือนกับเวลานี้มีอวิชชา มีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วทำอย่างไรถึงจะละหรือดับกิเลส ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้เพราะฉะนั้นก็มีหนทางเดียว ซึ่งไม่ใช่หนทางอื่น นอกจากอบรมเจริญปัญญา

~ เวลาที่กระทบสิ่งที่ไม่พอใจแล้วก็หงุดหงิด ขณะนั้นให้ทราบได้ว่า จะต้องเป็นอุปนิสัยที่จะสะสม ทำให้มีความขุ่นใจ ไม่พอใจอยู่บ่อยๆ เนืองๆ มากกว่าคนที่อดทน

~ ไม่ว่าใครจะมีความประพฤติอย่างไรต่อท่าน หรือแม้แต่เพียงการที่จะนึกถึงคำพูดหรือการกระทำของคนอื่น ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังแม้นานมาแล้ว เป็นการที่จะทดสอบได้ว่า แม้ในขณะนั้นจิตที่คิดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ถ้าเป็นอกุศลยังโกรธ ขณะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้เจริญขันติ (ความอดทน)


~ ทุกอย่างเป็นอนัตตา อกุศลก็มีปัจจัยเกิดขึ้น กุศลก็มีปัจจัยเกิดขึ้น จนกว่าจะเข้าใจมั่นคง ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ กว่าจะละคลายความเป็นเรา จนหมดความเป็นเราตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามต้องการ หรือคิดหวัง หรือเข้าใจผิดคิดว่า ไม่มีเราอีกต่อไปแล้ว โดยไม่รู้อะไรในขณะนี้

~ ทางเดียวที่จะละคลายโมหะได้ คือ อบรมสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโมหะ คือ ปัญญาให้เกิดขึ้น รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว ถ้ายังมีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมอยู่ แล้วจะไม่ให้มีโมหะ ไม่ให้มีโลภะ เป็นไปไม่ได้ หรือจะไม่มีโมหะ ไม่ให้มีโทสะ ก็เป็นไปไม่ได้
~ เวลาที่ได้ข่าวคนสิ้นชีวิต ทุกคนก็คงจะบางครั้งตกใจ ไม่คาดฝัน บางครั้งก็รำพัน หรือเป็นทุกข์เศร้าหมอง หม่นหมอง ขณะนั้นอโยนิโสมนสิการ (ใส่ใจโดยไม่แยบคาย) เป็นอกุศล ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นถ้าสติเกิดระลึกได้ในขณะนั้น ก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความเสียใจ ไม่มีประโยชน์อย่างใดทั้งสิ้น แต่ที่ควรจะเป็น คือ ควรที่จะเบิกบานใจที่มีโอกาสเข้าใจพระธรรม และได้เห็นว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นสัจจธรรม (ความจริง)

~ ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม น้อมประพฤติปฏิบัติตามธรรม กาย วาจา ใจของผู้นั้นก็สงบจากกิเลสขึ้น ซึ่งผู้นั้นเองก็จะรู้สึกตัวว่า เป็นผู้ที่ฝึกแล้ว แต่ว่าฝึกโดยใคร? ฝึกโดยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

~ การฟังพระธรรมก็จะพิจารณาเข้าใจสภาพของตนเอง ซึ่งกำลังมีลูกศรเสียบ เป็นทุกข์มากเพราะอวิชชา เพราะอกุศลทั้งหลาย เช่น โลภะ โทสะ โมหะ และอกุศลอื่นๆ ที่เกิดขึ้นขณะใด เป็นทุกข์ขณะนั้น เหมือนถูกเสียบด้วยลูกศร


~ ขณะนี้ทุกคนมีอันตรายรอบข้าง อาจจะคิดว่าเป็นอันตรายจากโจร จากผู้ร้าย จากคนที่ไม่หวังดี แต่บุคคลเหล่านั้นไม่สามารถจะทำร้ายใจของท่านได้ อย่างมากที่สุดที่จะทำร้ายได้ ก็คือทำร้ายกาย ทำร้ายทรัพย์สมบัติ แต่สำหรับจิตใจนั้นต้องเป็นกิเลสของท่านเอง


~ เวลาที่เกิดโกรธและก็พูดคำที่ไม่ดี ลืมแล้วใช่ไหมว่า ใครไม่ดีในขณะที่พูดไม่ดี คือ ตัวเอง ตนเองเท่านั้น คือ คนชั่ว ใครที่พูดชั่ว คนนั้นคือคนชั่ว


~ ใครก็ตามที่มีความไม่รู้และก็ไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมดาเหลือเกินที่บุคคลนั้นจะต้องทำสิ่งที่ผิดๆ หรือว่าทำสิ่งที่ไม่สมควร หรือทำสิ่งที่เสียหายแม้กับตัวท่าน

~ ไม่มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ก็เป็นเครื่องกั้นแล้ว

~ หน้าที่เดียว (ที่สำคัญอย่างยิ่ง) คือ ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจขึ้น

~ ถ้าเป็นคนดี อยู่ที่ไหนก็ได้

~ ทั้งชีวิตทีเดียวที่จะน้อมนำประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ เพื่อการขัดเกลาและดับกิเลส


~ รู้ความจริง ก็สงบจากความไม่รู้, ความไม่รู้นี่เองที่นำมาซึ่งความไม่สงบทั้งปวง

~ คำไหนที่ควรฟัง? พระพุทธพจน์ทุกคำ ควรฟัง

~ พระธรรมทุกคำ นำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๔๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Boonyavee
วันที่ 8 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 8 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 8 พ.ค. 2559

"ผู้ศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ตรง เพราะธรรมะตรง" (เห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด โลภะเป็นโลภะ ฯลฯ ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ตรงไปตรงมา)

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
rrebs10576
วันที่ 9 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kullawat
วันที่ 9 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 9 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Noparat
วันที่ 9 พ.ค. 2559

~ รู้ความจริง ก็สงบจากความไม่รู้, ความไม่รู้นี่เองที่นำมาซึ่งความไม่สงบทั้งปวง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 9 พ.ค. 2559

กราบขอบพระคุณค่ะ ทุกๆ คำแทนเสียงพระศาสดา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 9 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 9 พ.ค. 2559

ดิฉันเป็นคนมีโทษะมาก โกรธง่าย หงุดหงิดง่าย ซึ่งเป็นอกุศลที่กลุ้มรุมจิตใจตนเองบ่อยๆ ทำร้ายตนเอง คำสอนบทนี้มีประโยชน์มากจะระลึกไว้เตือนสติตนเองค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
peem
วันที่ 10 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
aurasa
วันที่ 11 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
kukeart
วันที่ 12 พ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาสาธุครับ (ขณะที่กล่าวว่า ผู้อื่นำไม่ดี ขณะนั้น ผู้พูด ก็เป็นคนไม่ดีเช่นกัน)

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
hetingsong
วันที่ 13 พ.ค. 2559

ศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ ไม่หลอกลวงตนเอง

ปัญญา (ความเข้าใจถูก) จึงเกิดเป็นผล ด้วยเหตุจากความจริงใจที่มีต่อพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
สิริพรรณ
วันที่ 21 พ.ค. 2559

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนา ขอบพระคุณกุศลจิต อ.คำปั่นด้วยค่ะ

เพราะสะสมความไม่รู้มาแสนนาน

เมื่อได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจพระธรรม

และความจริงของสภาพธรรม ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

จึงเห็นพระคุณของพระรัตนตรัย เพิ่มขึ้นๆ ๆ

เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะได้ฟังพระธรรมเพื่อละความไม่รู้

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ