ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  4 เม.ย. 2559
หมายเลข  27630
อ่าน  2,573

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณจักรกฤษณ์ และ คุณชฎาพร เจนเจษฎา เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพักในซอยประดิพัทธ์ ๑๕ ย่านสะพานควาย กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๙.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.

ข้าพเจ้าได้เคยมีโอกาสมาร่วมสนทนาธรรมที่นี่ ตามคำเชิญของท่านเจ้าบ้านทั้งสองแล้วครั้งหนึ่ง สำหรับท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาในครั้งนั้น ได้ที่นี่ครับ...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๗

ปัจจุบัน ทราบว่าท่านเจ้าบ้านทั้งสองมีกุศลศรัทธาอย่างยิ่ง ที่ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เพื่อมาสนทนาธรรมที่บ้านของท่านแห่งนี้เดือนละครั้ง โดยในแต่ละครั้ง ท่านทั้งสองจะเชิญเพื่อนสหายธรรมที่มูลนิธิฯบางส่วน วนเวียนไปไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง รวมกับเพื่อนๆ ของท่านที่สนใจในพระธรรม แต่ไม่เคยมีโอกาสได้พบและฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์มาก่อน ให้ได้มีโอกาสอันวิเศษสุดในชีวิต ที่จะสนทนา สอบถามโดยใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ เป็นกุศลเจตนาที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ในความเป็นมิตร เป็นเพื่อนที่แท้จริงของท่านเจ้าบ้านทั้งสอง ในการที่จะเกื้อกูลให้ญาติสนิท มิตรสหายของท่าน ได้มีความเข้าใจถูก เห็นถูก ในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งในสังสารวัฏฏ์ ที่บุคคลจะได้ประสบพบเจอ กับทั้งยังเป็นการช่วยกันเผยแพร่พระธรรมให้กว้างขวาง รุ่งเรืองต่อๆ กันไป

อย่างที่ข้าพเจ้าได้เคยเล่าไว้ในกระทู้ครั้งที่แล้วว่า คุณจักรกฤษณ์และคุณแอ๋ว (ชฎาพร) มีกุศลเจตนาที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่บ้านเป็นครั้งแรก เพื่อที่จะเกื้อกูลคุณพ่อและคุณแม่ของคุณจักรกฤษณ์ ที่มีความฝักใฝ่สนใจในพระศาสนาเป็นอย่างมาก ท่านทั้งสองเคยเป็นผู้อุปัฏฐากพระภิกษุหลายรูป ปัจจุบันนี้ ทราบว่าคุณแม่ของคุณจักรกฤษณ์ มีกุศลศรัทธาที่จะฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายมากขึ้น ในคราวสนทนาธรรมที่สวนสามพรานที่ผ่านมา ข้าพเจ้าก็ได้พบคุณแม่เดินทางไปร่วมฟังการสนทนาธรรมด้วย รู้สึกซาบซึ้งอนุโมทนากับคุณจักรกฤษณ์และคุณแอ๋วจริงๆ ครับ ที่ได้มีโอกาสตอบแทนท่านผู้มีพระคุณในสิ่งอันเลิศที่สุด ที่หาค่าประมาณมิได้ เลิศกว่าทรัพย์ใดในสากลจักรวาล คือ ความเข้าใจพระธรรม ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิต เงินทองเท่าจักรวาลก็ไม่สามารถซื้อความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ได้

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้า ๓๕๗-๓๕๘

บุคคล ๒ พวก ที่กระทำตอบแทนไม่ได้ง่าย

[๒๗๘] ๓๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทําตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง ทั้งสองท่านคือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึ่ง ประดับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิต อยู่ตลอด ๑๐๐ ปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ํา และการดัด และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทําอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า อันบุตรทําแล้วหรือทําตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุตรพึงสถาปนาบิดามารดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปไตย ในแผ่นดินใหญ่ อันมีรัตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การทํากิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทําแล้วหรือทําตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนว่าบุตรคนใด ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญาให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประการเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา "

จบสูตรที่ ๒

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาระหว่างท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับคุณจิ๋ว และคุณแม่ของคุณจักรกฤษณ์ มานำเสนอให้ทุกท่านได้อ่านและพิจารณา ท่านจะประทับใจในบรรยากาศและถ้อยคำการสนทนาของคุณแม่ ที่สนทนากับท่านอาจารย์ ด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาจากใจจริงของท่าน เป็นการพิสูจน์คำจริง วาจาสัจจะ ที่ท่านอาจารย์ได้ปรารภโดยบ่อยว่า "ผู้ตรง" เท่านั้น ที่จะได้สาระจากพระธรรม ครับ และในตอนท้าย ข้าพเจ้าได้แนบลิงค์คลิปวีดีโอที่ได้บันทึกและได้นำลงยูทูปไว้ในไสตล์ของข้าพเจ้า (กล่าวคือ ไม่มีการตัดต่อใดๆ เพราะยังทำการตัดต่อไม่เป็นนั่นเองครับ) รับรองว่า ด้วยความไพเราะของการสนทนา จะทำให้ท่านใคร่ที่จะดูโดยต่อเนื่อง ไม่อยากละสายตาเลยทีเดียวครับ และขอยืนยันกับทุกท่านอีกครั้งหนึ่งว่า คลิปพิเศษเช่นว่านี้หาที่ไหนไม่ได้แน่นอน มีที่นี่ ที่เดียว นะครับ

ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้คุยกัน บอกว่า วันนี้เป็นวันดี ที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนนี้เคยรู้จักไหม?
คุณจิ๋ว ก็ ถ้าในนัยของจิ๋ว ก็ได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็เรียน อะไรอย่างนี้ ก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอะไรอย่างนี้ ไปเรียนศาสนาอะไรอย่างนี้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วอย่างนั้น เป็นผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?
คุณจิ๋ว หนูว่าหนูเป็น (ผู้ที่รู้จัก) นะคะ หนูไปอินเดียเหมือนกัน หนูก็ไปตามรอยบาทพระศาสดาอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ คนอินเดียก็เยอะแยะ คนที่พุทธคยาก็เยอะแยะ แล้วเราบอกเราไปอินเดียแล้วเราได้รู้จักพระพุทธเจ้าได้เลย แค่ไปอินเดีย? ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้จัก ได้ยินแต่ "ชื่อ" และวิธีจะรู้จัก ทำอย่างไรจะรู้จัก?
คุณจิ๋ว ก็คือ ถ้าคนใดรู้จักธรรม คนนั้นรู้จักพระพุทธเจ้า

ท่านอาจารย์ พูดเก่ง (หัวเราะกันครืน) พูดถูกด้วย แต่ว่า พูดคำที่ไม่รู้จัก พูดได้ทั้งนั้นเลย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดได้ พูดได้ แต่ว่ายังไม่รู้จักอยู่ดี เพราะยังไม่รู้ว่า ธรรมะคืออะไร? เห็นไหม? ทุกอย่าง ละเอียดมากๆ ถ้าเราไม่เป็นคนละเอียด เราจะไม่รู้จักพระพุทธเจ้าเลย!!

คุณแม่ แต่ทุกคนก็เข้าใจว่ารู้จักหมดแล้ว
ท่านอาจารย์ ก็ถามเขาว่า ถ้ารู้จักแล้ว พระพุทธเจ้าทำไมเป็นพระพุทธเจ้า? ทำไมเราเรียกว่าพระพุทธเจ้า? อยู่ดีๆ เรียกคนนี้ว่าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร? ทำไมไม่เป็นคนอื่น ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น พระธรรม จะทำให้เราไม่หลงทาง ไม่ไปทางผิด เพราะละเอียดพอที่จะไม่ไปทางผิด ทางผิดเยอะมาก มันง่าย!! ทางผิดนี่ง่ายมาก..

คุณแม่ เกิดมาก็ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ ก็ผิดแล้ว
คุณแม่ ก็นับถือพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ตามๆ กันมา ก็ใส่บาตร ต้องทำบุญกับพระ อะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ ได้ยินแต่ชื่อ ก็ไม่รู้ว่า "พระ" เป็นใคร? อีก ใช่ไหม?
คุณแม่ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ แล้ว "สาวก" เป็นอย่างไร?
คุณแม่ ก็สืบทอดมาอย่างนี้ ก็แต่งตัว ห่มผ้าเหลือง ศีรษะโล้น

ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ท่านก็ต้องสอนเรา ว่าท่านเป็นอะไร เราจะได้เข้าใจด้วย
คุณแม่ ก็ศีลห้า ศีลแปด สองร้อยยี่สิบเจ็ด
ท่านอาจารย์ แค่ศีลห้า ศีลแปด สองร้อยยี่สิบเจ็ด ไม่จำเป็นต้องเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เป็นพระสงฆ์ ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ อันนี้สำคัญที่สุดเลย เพราะฉะนั้น ใครจะพูดว่าอย่างไร เราสะสมความละเอียด และการเป็นคนตรง กับ มีเหตุผล เราจะรู้เลยว่า คนนั้น ตื้น หรือ ลึก

คุณแม่ เข้าใจผิดกันมาตลอด
ท่านอาจารย์ เยอะมาก
คุณแม่ ก็จะเกือบทั้งประเทศไทยนะคะ (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ ทั่วโลกดีกว่า ทั่วโลกก็ไม่ว่ากัน คืออย่างนี้ค่ะ ถ้าเราไม่เป็นคนตรง เราจะไม่สามารถที่จะเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบอกว่าเราเคารพใช่ไหม? เคารพอะไร?
คุณแม่ เคารพตามๆ กันมา
ท่านอาจารย์ เคารพอะไร? อะไร? ไม่รู้เลยว่า เคารพอะไร?
คุณแม่ เคารพคือการทำดี ไม่ทำชั่ว

ท่านอาจารย์ ท่านสอนให้เราทำดี ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็สอนได้ ไม่เห็นต่างกันเลย แล้วทำไมจะต้องไปกราบไหว้ "ถึงปานนั้น"
คุณแม่ กราบไหว้เพราะคิดว่าท่านทำความดี ละเว้นความชั่ว
ท่านอาจารย์ คนอื่นล่ะ คนอื่นล่ะคะ? คนอื่นเขาก็ทำดี เว้นชั่วเหมือนกัน
คุณแม่ ก็เคารพ แต่คนละอย่าง
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ แล้วต่างกันตรงไหน?
คุณแม่ ต่างกันตรงที่ว่า ท่านศีรษะโล้น ห่มผ้าเหลือง

ท่านอาจารย์ เหมือนกันค่ะ ก็พระก็เหมือนกัน
คุณแม่ ก็เราเข้าใจกันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่พอ ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจริงๆ รับรองได้เลย!!
คุณแม่ ใช่ค่ะ แต่ว่า ตอนนี้ก็รู้จักแล้ว

ท่านอาจารย์ ยังค่ะ (หัวเราะกันครืน) เท่าที่พูด ยังค่ะ เท่าที่พูดยัง ต้องมากกว่านี้อีก ถึงจะรู้ว่ารู้จักจริงๆ
คุณแม่ ต้องเคารพ
ท่านอาจารย์ เคารพได้ แต่ว่าไม่รู้จัก
คุณแม่ ทำตามคำสั่งสอน
ท่านอาจารย์ ทำตาม? ถ้าเพียงแค่นั้น คนอื่นก็เหมือนกัน เขาก็พูดอย่างนี้ได้ ทุกคำ ทุกคน แล้วจะต่างอะไรกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?

คุณแม่ ก็ต้องศึกษา
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ ทีนี้ จะศึกษาอะไร? ถึงจะรู้ว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณแม่ ศึกษาจากท่านผู้รู้
ท่านอาจารย์ แล้ว "ท่านผู้รู้" สอนว่าอย่างไร?
คุณแม่ ต้องพิจารณาดูว่าท่านสอนถูกหรือเปล่า?
ท่านอาจารย์ แล้วท่านสอนอะไรล่ะคะ?
คุณแม่ สอนตามนั้น สอนตามตำรา
ท่านอาจารย์ ท่านสอนอะไร? สำคัญที่สุด ตำราก็มี หนังสือก็มี แต่ท่านสอนอะไร? "ตามนั้น" คืออะไร? ท่านสอนผิดจากนั้นไม่ได้ ถ้าท่านสอนตามนั้น "ตามนั้น" คืออะไร? เราจะได้เรียนด้วย ถ้ายังหาตัวคำสอนไม่ได้ ก็ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณแม่ ก็ยังหาคำสอนไม่ได้ นอกจากคำสอนของท่านอาจารย์ ฟังๆ มาบ้างนิดหน่อย (หัวเราะ)

ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณแม่ ที่อาจารย์ชี้แนะ ก็พอเข้าใจ
ท่านอาจารย์ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นความจริง ใครพูดก็ได้ แต่พูดแล้ว คนฟังเข้าใจความจริง นี่ค่ะ ที่สำคัญที่สุด คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งไหม?
คุณแม่ ลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) ยังไม่ได้ฟังเลย แต่บอกว่าลึกซึ้ง เพราะอะไร? เห็นไหม?
คุณแม่ เพราะว่า ละเอียดมาก

ท่านอาจารย์ ละเอียด แล้วเราพูดว่าลึกซึ้ง เพราะเรายังไม่เข้าใจพระธรรม ถึงได้ว่าลึกซึ้ง แต่ถ้ายิ่งฟัง ยิ่งลึกซึ้งกว่าที่คิด และยิ่งเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น นี่คือการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะแค่ได้ยินได้ฟัง (คำว่า) "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ก็ยังไม่ได้รู้ว่า แล้วทำไมถึงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นแล้วสอนอะไร? คนจะได้รู้ว่า นี่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แน่นอน เพราะรู้จากคำสอน ถ้าคำสอนเหมือนคนทั่วไป แล้วใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? ก็สอนเหมือนกันหมด ใช่ไหม? แต่ต้องมีคำสอนที่ พอได้ฟังแล้วรู้เลยว่า นี่แหละ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคำสอนนั้น สอนอะไร? ถึงได้ทำให้เราเริ่มรู้ว่า นี่แหละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คุณจิ๋ว สอนการหลุดพ้น สอนการไม่เวียนว่ายตายเกิด
ท่านอาจารย์ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกค่ะ เท่าที่คิด คือ สอนให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด แล้วเดี๋ยวนี้ อะไร? เวียน ว่าย ตาย เกิด? จะได้พ้นไง ยังไม่รู้เลย ถ้าไม่รู้ แล้วจะพ้นได้อย่างไร? ยังไม่รู้ว่าอะไรเวียนว่ายตายเกิด เห็นไหม? แล้วอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จนกว่า ฟัง เข้าใจเมื่อไหร่ เห็นความลึกซึ้ง เมื่อนั้นก็รู้ว่า ยิ่งฟังยิ่งเห็นความลึกซึ้ง จนกระทั่งเริ่มเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงที่สุดว่า ท่านตรัสรู้แล้วท่านสอน สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ อย่างนั่งๆ กันอย่างนี้ รู้ไม่ได้หรอก ทั้งๆ ที่มี ถ้าไม่ได้ฟังเลย คิดไม่ออกเลยสักคำ ไม่ว่าจะถามอะไรทั้งหมด ตอบไม่ได้เลย

ทีนี้ให้ถามบ้าง (หัวเราะ) เลือกเอาสองอย่าง จะถามหรือจะตอบ อย่างหนึ่งอย่างใดได้เลย ข้อสำคัญที่สุดคือ คนหนึ่งและประโยชน์จริงๆ ของแต่ละหนึ่งขณะ ที่มีการสนทนา ก็คือ ความเข้าใจ ไม่อย่างนั้นทั้งวัน เราไม่ได้เข้าใจอะไรขึ้นเลย เหมือนเดิม ก็ไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริง ใช่ไหม? ประโยชน์ที่แท้จริงแต่ละขณะนี้ สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

คุณแม่ เราก็ต้อง ตามให้ทัน ใช่ไหมคะ?
ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้ตามอะไรอีก
คุณแม่ ตามความจริง
ท่านอาจารย์ ความจริง? ก็ไม่รู้ว่าอะไรอีก
คุณแม่ ตามความจริงที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ อะไรที่กำลังปรากฏ? ก็ไม่รู้อีก
คุณแม่ ก็ฟังท่านอาจารย์ ลืมตาก็เห็น เราก็ระลึกรู้เลย เห็นอะไร? อย่างนี้ พยายามทำอย่างนั้นได้หรือเปล่าคะ?

ท่านอาจารย์ ไม่ได้ค่ะ "พยายามทำ" ไม่ได้!! แต่ "เข้าใจ" คือ "ปัญญา" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
คุณแม่ ก็ลืมตาขึ้นมา ก็ (อยาก) จะเข้าใจ มันก็ไม่เข้าใจค่ะอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร เวียน ว่าย ตาย เกิด คือ? เราพูดอะไรแต่ก่อนนี้เราจะไม่เข้าใจ แต่พอเรามีความเข้าใจแล้ว ทุกคำ เป็นคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ทั้งหมดเลย แต่ว่า เพราะยังไม่ได้ฟังคำสอน ก็เลยไม่รู้ว่าสอนอะไร เราก็พูดถึงสิ่งที่มี แต่ไม่เข้าใจ แต่พอเข้าใจแล้ว ทุกสิ่งที่มีที่ไม่เคยเข้าใจ พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจ
คุณแม่ เข้าใจยาก

ท่านอาจารย์ ยากมาก ยากมากค่ะ ถึงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะตรัสรู้ ๔ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้น ใครจะเอาคำของพระพุทธเจ้ามาพูดง่ายๆ แล้วบอกว่า นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป เราฟังนิดเดียว เราบอกว่า เข้าใจแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นั่นคือ ไม่ใช่ของจริง (เป็น) ของลวง ถ้าเป็นคำของพระพุทธเจ้า ต้องแสดงสิ่งที่มีตามที่ได้ทรงตรัสรู้จากปัญญาที่สะสมมา แค่นี้ มหาศาล ทรงแสดงสิ่งที่มีจริง ให้คนอื่นได้เข้าใจตามที่บำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้สิ่งนั้น นานเท่าไหร่กว่าจะสอนหรือพูดถึงธรรมะแต่ละคำได้ เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท เริ่มต้นด้วยการรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร และ การฟังคำของพระพุทธเจ้า ต้องละเอียด และลึกซึ้ง
คุณแม่ แต่ก็ไม่ค่อยมีอาจารย์...
ท่านอาจารย์ ก็ไม่เรียน จะรู้ได้อย่างไร? "คิดเอง" กัน
คุณแม่ เรียนจากไหนคะ?
ท่านอาจารย์ พระไตรปิฎกค่ะ พระไตรปิฎก ประมวลคำสอนทั้งหมด ๔๕ พรรษา

คุณแม่ คนธรรมดา ก็ไม่ได้สามารถที่จะมาอ่านพระไตรปิฎกได้ เพราะว่าเรียนก็...สมมติถ้าจะอนุบาล ป.๔ ไปจนจบปริญญา ก็ไม่มีที่จะลึกซึ้ง เพราะว่าเรียนทางอาชีพ ทั้งนั้นเลย แต่ว่าทางพระไตรปิฎกก็ไม่ได้มีใครที่จะศึกษาลึกซึ้งขนาดนั้น ก็เลยทำตามๆ กันมา เข้าวัด ทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์ อะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เลยไม่รู้จักพระพุทธเจ้า!!!
คุณแม่ ก็รู้จัก เป็นพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เป็นอย่างไรหรือคะ?
คุณแม่ ก็ท่านสอนมา อะไรอย่างนี้
ท่านอาจารย์ แล้วท่านสอนอย่างไร? ท่านสอนอะไร?
คุณแม่ สอนหลายอย่างค่ะ

ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) สอนทั้งหมดในพระไตรปิฎก ๔๕ พรรษา อะไรบ้าง? สำคัญที่สุดคือ อะไรบ้าง?คุณแม่ ก็คณะเรานี่ก็ไม่ได้ศึกษาลึกซึ้งขนาดนั้น
ท่านอาจารย์ แต่พระไตรปิฎกมาจากไหน? เห็นไหม? มาจากคนครั้งโน้น เหมือนเราสมัยนี้เลย คนที่อยู่เมืองสาวัตถี เขาก็ทำมาหากิน คนที่อยู่พระนครราชคฤห์เขาก็เหมือนกันหมด ทุกคนมีชีวิตเหมือนกันหมด ไม่ว่าคนกรุงเทพฯหรือคน.. (ที่เมืองสาวัตถี,เมืองราชคฤห์) แต่พอได้ทราบว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปเฝ้า และ พระพุทธเจ้าตรัสสอน ข้อความเหมือนในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น เท่ากับพระองค์ ตรัสกับชาวเมืองนั้นเลย เพราะฉะนั้น เราไม่ได้พบพระพุทธเจ้า แต่เราฟังคำที่พระพุทธเจ้าตรัสกับชาวเมืองนั้น เหมือนกำลังตรัสกับเรา เพราะเราก็คือ ชาวเมืองกรุงเทพฯ แต่เขาเป็นชาวเมืองไวศาลีบ้าง เมืองโกสัมพี พระนครราชคฤห์

คุณแม่ แต่ทีนี้เป็นภาษาของเขา เขาเข้าใจ แต่พอเป็นคนไทย ก็ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ก็ต้องแปลมา ต้องอาศัยผู้รู้แปล และต้องตรงกันด้วย ทุกคำที่เราพูดเดี๋ยวนี้ ชาวเมืองนั้นเขาก็พูดอย่างนี้ แต่เป็นภาษาของเขา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในภาษาที่ชาวเมืองเขาเข้าใจ เราแปลมาเสร็จแล้ว เราก็พูดคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในภาษาที่เราเข้าใจ
คุณแม่ แต่ของเราไม่ค่อยเน้นภาษาที่เข้าใจ ที่สวดๆ ที่สอนๆ ก็เป็นภาษาบาลีทั้งนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใครสวดคำภาษาที่ไม่รู้จัก เพราะรู้ว่า ไม่มีประโยชน์ สวดกันทำไม? ในภาษาที่ไม่รู้จัก!! ต้องเข้าใจอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ทั้งหมด พระมหากรุณาทรงแสดงธรรมะ ให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ พิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจขึ้น เพราะแต่ละคำ พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ และเดี๋ยวนี้ก็มี แต่สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสกับชาวเมืองนั้นๆ เหมือนพูดกับเรา สมัยนี้ เดี๋ยวนี้

คุณแม่ ก็เพียงแต่เข้าใจตลอดเลยหรือคะอาจารย์
ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้น จนรู้อย่างที่พระองค์รู้ เป็นสาวก เพราะมีรัตนะ ๓ ใช่ไหม? พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ พระสังฆรัตนะ คือ ผู้ที่ฟังพระธรรมจนดับกิเลสได้ จึงเป็นพระอริยบุคคล ถึงจะเป็นรัตนะได้ ถ้ายังไม่รู้อริยสัจจธรรม ยังไม่ได้ดับกิเลส เป็นพระอริยะ เป็นรัตนะไม่ได้!! รัตนะต้องหมายเฉพาะผู้ที่ดับกิเลสแล้วตามลำดับขั้น กิเลสดับยาก แต่ดับได้แล้ว ตามคำ พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นรัตนะ จากพระพุทธรัตนะ

คุณแม่ ทุกคนก็ประสงค์จะดับกิเลส
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เท่านั้น ไม่ใช่คำของคนอื่น!!
คุณแม่ ฟังธรรมอย่างเดียวเลยหรือคะ?
ท่านอาจารย์ ก็พระพุทธเจ้าสอน "คำ" ที่เราใช้คำว่า "พระธรรม"
คุณแม่ แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตาม
ท่านอาจารย์ ไม่มีเราเลย มีแต่ธรมะ สิ่งที่มีจริงๆ

คุณแม่ ก็มีตัวตนกันทั้งนั้นเลย
ท่านอาจารย์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาก็ไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น เป็นตัวตนก็คือ ต้องฟังคำจนกว่าจะเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมะทั้งหมดเลย
คุณแม่ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ไม่มีตัวตนได้
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่สอน ใช่ไหม?

คุณแม่ มันลำบากมาก
ท่านอาจารย์ ยาก ลึกซึ้ง แต่ถึงกันได้ พระสารีบุตรก็ถึงแล้ว ท่านพระอานนท์ก็ถึงแล้ว ใครก็ถึงแล้ว แต่ก่อนที่จะถึง หนึ่งอสงไขย ท่านพระสารีบุตร แสนกัป กว่าจะรู้ความจริงที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงเดี๋ยวนี้!! เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็ ฟังไว้ เข้าใจไว้ เก็บสะสมไว้ จนกว่าจะถึงเวลา วัน ขณะที่เข้าใจได้ อย่างท่านพระสารีบุตร
คุณแม่ สะสมไว้อย่างเดียว
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มี ไม่มีเลย ก็ต้องค่อยๆ เก็บเล็ก ผสมน้อย ไปเรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีเลย มีน้อยก็เพิ่มขึ้นได้ จนมาก

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 390
ข้อความตอนหนึ่งจากประวัติพระวักกลิเถระ
ทรงทราบว่า บัดนี้ญาณของท่านแก่กล้าแล้ว ท่านอาจตรัสรู้ได้ จึงตรัสอย่างนี้ว่า วักกลิ ท่านจะประโยชน์อะไรด้วยมองรูปกายอันเปื่อยเน่านี้ที่ท่านเห็น วักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม วักกลิ เห็นธรรมจึงจะชื่อว่าเห็นเรา. เมื่อพระศาสดาแม้ทรงโอวาทอยู่อย่างนี้ พระเถระก็ไม่อาจละการดูพระทศพลแล้วไปในที่อื่น แต่นั้นพระศาสดาทรงดำริว่า ภิกษุนี้ไม่ได้ความสังเวช จักไม่ตรัสรู้เมื่อใกล้เข้าพรรษา ทรงประกาศขับไล่พระเถระนั้นว่า วักกลิ จงหลีกไป ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีพระดำรัสที่พึงยึดถือเพราะฉะนั้น พระเถระจึงยืนโต้ตอบพระศาสดาไม่ได้ ไม่บังอาจมาเฉพาะพระพักตร์พระทศพล คิดว่า บัดนี้เราจะทำอย่างไรได้ เราถูกพระตถาคตประฌามเสียแล้ว เราก็ไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระองค์ ประโยชน์อะไรด้วยชีวิตของเรา จึงขึ้นสู่ที่เขาขาดที่เขาคิชฌกูฏ พระศาสดาทรงทราบว่า พระเถระนั้นมีความลำบาก ทรงดำริว่า ภิกษุนี้เมื่อไม่ได้ความปลอบใจจากเรา ก็จะพึงทำลายอุปนิสัยแห่งมรรคผลเสียจึงทรงเปล่งรัศมีไปแสดงพระองค์ ครั้งนั้น ตั้งแต่พระวักกลินั้นเห็นพระศาสดาก็ละความโศกศัลย์อย่างใหญ่ ด้วยประการฉะนี้.พระศาสดาเพื่อจะให้พระวักกลิเถระเกิดปีติโสมนัสสรงขึ้น เหมือนหลั่งกระแสน้ำลงในสระที่แห้ง จึงตรัสพระคาถาในพระธรรมบทว่า

ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ ปสนฺโน พุทฺธสาสเน อธิคจฺเฉ ปทํ สนฺตํ สงฺขารุปสมํ สุขนฺติ.
ภิกษุผู้มากด้วยความปราโมทย์ เลื่อมใสใน พระพุทธศาสนา จะพึงบรรลุบทอันสงบที่ระงับสังขาร เป็นความสุขดังนี้.

อนึ่ง พระศาสดาทรงเหยียบพระหัตถ์ประทานแก่พระวักกลิเถระว่า มาเถิดวักกลิ. พระเถระบังเกิดปีติอย่างแรงว่า เราเห็นพระทศพลแล้ว ได้รับพระดำรัสตรัสเรียกว่า มาเถิดวักกลิ ทั้งไม่รู้การไปของตนว่าจะไปทางไหน จึงโลดแล่นไปในอากาศต่อพระพักตร์พระทศพล แล้วทั้งเท้าแรกเหยียบบนภูเขา นึกถึงพระดำรัสที่ พระศาสดาตรัสแล้ว ข่มปีติในอากาศนั่นเอง บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ลงมาถวายบังคมพระตถาคต. ภายหลังพระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ใน ตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้น้อมใจไปด้วยศรัทธา.

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณจักรกฤษณ์ และ คุณชฎาพร เจนเจษฎา
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
j.jim
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
napachant
วันที่ 6 เม.ย. 2559

กราบเท้าท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎาและครอบครัวด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของ

คุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 6 เม.ย. 2559

กราบเท้าท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาผู้ร่วมสนทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ

และขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 6 เม.ย. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jirat wen
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
swanjariya
วันที่ 6 เม.ย. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนาขอบคุณ คุณจักรกฤษณ์ เจนเจษฎาและครอบครัว

และคุณวันชัย ภู่งามที่เรียงร้อยถ้อยคำ ทั้งบันทึกเสียงและภาพมาให้ฟังและชมเสมือนได้ติดตามไปด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wirat.k
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 7 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
thilda
วันที่ 9 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ