การขอขมาพระในกรณีที่ท่านสึกออกไปแล้ว

 
thehongpingping
วันที่  3 ม.ค. 2559
หมายเลข  27341
อ่าน  1,067

คือเคยได้ปรามาสพระท่านหนึ่งไว้ แล้วรู้สึกเป็นทุกข์ค่ะ จึงอยากไปขอขมาท่าน เพื่อให้ท่านอดโทษให้ แต่ท่านได้สึกออกไปแล้ว สึกออกจากการเป็นพระแล้ว มีวิธีการทำอย่างไรคะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ม.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เป็นเหตุ ทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาจากที่เป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ มากมาย ก็สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นผู้ที่ประเสริฐ ห่างไกลจากกิเลสที่ดับได้แล้ว พระอริยบุคคลทุกระดับขั้นเป็นผู้ที่ประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง จนสามารถดับกิเลสได้ เมื่อมีปัญญาเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง การที่จะไปทำอะไรที่ผิดๆ เหมือนอย่างปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสกระทำ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และเพราะมีปัญญาเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะอุปการะเกื้อกูลแสดงความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้แก่ผู้อื่นได้เข้าใจตามด้วย

ดังนั้น การกล่าวว่าร้ายคนอื่นไม่สมควร ควรสำนึกด้วยใจที่เห็นโทษ หากบุคคลนั้นสึกไปแล้ว หาไม่เจอ ก็สามารถสำนึกด้วยใจ ขอโทษด้วยใจได้ และ ประพฤติสิ่งที่ดี ที่ควรใหม่ต่อไปครับ

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา พิจารณาไตร่ตรอง แล้วน้อมที่จะประพฤติตามพระธรรมขัดเกลากิเลสของตนเอง ย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งเมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่จะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คนเกิดอกุศลเลย แม้เพียงเล็กน้อย พระธรรม จึงเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างแท้จริง เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเป็นเครื่องนำทางชีวิตแล้วก็จะทำให้ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ดี ที่ถูก ที่ควร ยิ่งขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ม.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ความประพฤติเป็นไปคล้อยไปตามกิเลสที่สะสมมา ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล รวมถึงคำพูด ถ้าหากว่าเป็นคำพูดเกิดจากอกุศลจิต ก็เป็นคำที่เป็นไปเพื่อทำร้าย เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งสำเร็จไปแล้ว ไม่สามารถกระทำคืน หรือ ลบล้างในความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว แต่สำคัญที่ความเป็นผู้เห็นโทษโดยความเป็นโทษว่าสิ่งที่กระทำไปแล้ว ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ แล้วมีความตั้งใจจริงที่จะสำรวมระวัง ไม่กระทำอย่างนั้นอีก เป็นการตั้งต้นใหม่ด้วยคุณความดี สำนึกในสิ่งที่ผิดที่เคยทำไปแล้ว แม้จะไม่ได้พบเห็นท่านในฐานะของความเป็นบรรพชิตอีกแล้วก็ตาม ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คงจะเบาใจขึ้นบ้าง เพราะได้เห็นโทษแล้วตั้งต้นใหม่ และชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ครับ

....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wirat.k
วันที่ 4 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 5 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 8 ม.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 8 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Lertchai
วันที่ 17 ธ.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 18 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ