อุปกิเลสสูตร - อุปกิเลส ๕ - ๒๗ ม.ค. ๒๕๕๐

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 ม.ค. 2550
หมายเลข  2702
อ่าน  2,274

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••

ทุกวันเสาร์...

ขอเชิญร่วมรายการ

สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๒๗ มค ๒๕๕๐

เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.

อุปกิเลสสูตร

ว่าด้วยเรื่องอุปกิเลส ๕

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 32

นำการสนทนาโดย..

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร

ขอเชิญท่านอ่านพระสูตรนี้ได้ในกรอบต่อไป ครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 24 ม.ค. 2550

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 32

๓. อุปกิเลสสูตร

ว่าด้วยเรื่องอุปกิเลส ๕

[๒๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งเศร้าหมองแห่งทอง ซึ่งเป็นเหตุให้ ทองมัวหมองแล้ว ย่อมไม่อ่อน ใช้การไม่ได้ ไม่สุกใส เสียเร็ว จะทำเป็นเครื่อง ประดับไม่ได้ มี ๕ ประการ ๕ ประการเป็นไฉน คือ เหล็ก ๑ โลหะ ๑ ดีบุก ๑ ตะกั่ว ๑ เงิน ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งเศร้าหมองแห่งทอง ๕ ประการ นี้แล ซึ่งเป็นเหตุให้ทองมัวหมองแล้ว ย่อมไม่อ่อน ใช้การไม่ได้ ไม่สุกใส เสียเร็ว จะทำเป็นเครื่องประดับไม่ได้ เมื่อใด ทองพ้นจากสิ่งเศร้าหมอง ๕ ประการนี้ ย่อมอ่อน ใช้การได้ สุกใส ทนทาน จะทำเป็นเครื่องประดับก็ได้ คือ ช่างทองต้องการเครื่องประดับชนิดใดๆ เช่น แหวน ต้มหู สร้อยคอ สังวาล ก็ทำได้ตามต้องการ ฉันใด อุปกิเลสแห่งจิต ซึ่งเป็นเหตุให้จิตเศร้า หมองแล้ว ย่อมไม่อ่อน ใช้การไม่ได้ ไม่ผ่องไส เสียเร็ว ไม่ตั้งมั่นโดยชอบ เพื่อความหมดสิ้นไปแห่งอาสวะ ก็มี ๕ ประการ ฉันนั้นเหมือนกัน อุปกิเลส ๕ ประการเป็นไฉน คือ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทธัจจกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑ อุปกิเลสแห่งจิต ๕ ประการนี้แล ซึ่งเป็น เหตุให้จิตเศร้าหมองแล้ว ย่อมไม่อ่อน ใช้การไม่ได้ ไม่ผ่องใส เสียเร็ว ไม่ตั้งมั่นโดยชอบ เพื่อความหมดสิ้นไปแห่งอาสวะ แต่เมื่อใด จิตพ้นจาก อุปกิเลส ๕ ประการนี้ ย่อมอ่อน ใช้การได้ ผ่องใส ทนทาน ตั้งมั่นโดยชอบ เพื่อความหมดสิ้นไปแห่งอาสวะ และภิกษุ จะน้อมจิตไปเพื่อทำให้แจ้งด้วย ปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมที่จะพึงทำให้แจ้งได้ด้วยปัญญาอันยิ่งใดๆ เมื่อมีเหตุ เธอก็จะบรรลุผลสำเร็จในธรรมนั้นๆ โดยแน่นอน

ถ้าภิกษุหวังอยู่ว่า เราพึงแสดงฤทธิ์ได้หลายประการ คือ คนเดียวเป็น หลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา กำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงใน แผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินในแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ เมื่อมีเหตุ เธอก็จะบรรลุผลสำเร็จในอิทธิวิธีนั้นๆ โดยแน่นอน. ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราพึงฟังเสียง ๒ อย่าง คือ เสียงทิพย์และเสียง มนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ ด้วยทิพโสตธาตุอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ เมื่อมีเหตุ เธอก็จะบรรลุผลสำเร็จในทิพโสตนั้นๆ โดยแน่นอน

ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราพึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือ จิตมีราคะ ก็พึงรู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็พึงรู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็พึงรู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็พึงรู้ว่าจิต ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็พึงรู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็พึง รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็พึงรู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็พึงรู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรคต ก็พึงรู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็พึงรู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็พึงรู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าหรือ จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็พึงรู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็พึงรู้ว่าจิต เป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธิ ก็พึงรู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็พึงรู้ว่า จิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็พึงรู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น เมื่อมีเหตุ เธอก็จะ บรรลุผลสำเร็จในเจโตปริยญาณนั้นๆ โดยแน่นอน

ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติ บ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัป เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่อ อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เมื่อมีเหตุ เธอก็จะบรรลุผลสำเร็จในบุพเพนิวาสานุสติญาณนั้นๆ โดยแน่นอน. ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราพึงเห็นหมู่สัตว์กำลังเคลื่อน กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน บริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้หมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ สัตว์เหล่านั้น เมื่อตายไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราพึงเห็นหมู่ สัตว์ที่กำลังเคลื่อน กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ หมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ เมื่อมีเหตุ เธอก็จะบรรลุผลสำเร็จ ในจุตูปปาตญาณนั้นๆ โดยแน่นอน

ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราพึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เมื่อธรรมเครื่องสืบต่อมีอยู่ไม่ขาดสาย เธอก็จะบรรลุผลสำเร็จใน เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตตินั้นๆ โดยแน่นอน

จบ อุปกิเลสสูตรที่ ๓

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 24 ม.ค. 2550

อรรถกถาอุปกิเลสสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอุปกิเลสสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า น จ ปภสฺสร คือ ไม่สว่างไสว

บทว่า ปภงฺคุ จ คือ มีสภาพผุพัง

บทว่า อโย คือ โลหะดำ (เหล็ก)

บทว่า โลห ได้แก่ โลหะที่เหลือเว้นโลหะ ๔ ที่ตรัสไว้แล้วในที่นี้

บทว่า สชฺฌุ ได้แก่ เงิน

บทว่า จิตฺตสฺส ได้แก่ กุศลจิตอันเป็นไปในภูมิ ๔ ถามว่า อุปกิเลส ย่อมมีแก่กุศลจิตอันเป็นไปในภูมิ ๓ ยกไว้ก่อน แต่จะมีแก่โลกุตรภูมิได้อย่างไร. ตอบว่า โดยไม่ให้กุศลจิตเกิดขึ้น อุปกิเลสทั้งหลายไม่ให้กุศลจิตเกิดขึ้นโดย ส่วนใด ชื่อว่า อุปกิเลสทั้งหลายก็ย่อมมีทั้งแก่โลกิยกุศลจิต ทั้งแก่โลกุตรกุศลจิต โดยส่วนนั้นนั่นเอง.

บทว่า ปภงฺคุ จ ได้แก่ มีสภาพผุพัง เพราะแหลกละเอียดไปในอารมณ์

บทว่า สมฺมาสมาธิยติ อาสวานขยาย ได้แก่ ย่อมตั้งมั่นด้วยเหตุการณ์เพื่อประโยชน์แก่พระอรหัตกล่าวคือความสิ้นไป แห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ทรงแสดงถึงพระขีณาสพผู้ชำระจิต ให้หมดจด แล้วตั้งอยู่ในอรหัตผล บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรง แสดงอภิญญาปฏิเวธการแทงทลุปรุโปร่งของพระขีณาสพนั้น จึงตรัสคำเป็น อาทิว่า ยสฺส ยสฺส จ ดังนี้ คำนั้นมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล

จบ อรรถกถาอุปกิเลสสูตรที่ ๓

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
medulla
วันที่ 25 ม.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 25 ม.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปุถุชนคนหนึ่ง
วันที่ 26 ม.ค. 2550

"จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็พึงรู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่าหรือ จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็พึงรู้ว่าจิตไม่มี จิตอื่นยิ่งกว่า" หมายถึง โลกุตตรจิตใช่มั้ยค่ะ

"อุปกิเลสย่อมมีแก่กุศลจิตอันเป็นไปในภูมิ ๓ ยกไว้ก่อน แต่จะมีแก่โลกุตรภูมิได้อย่างไร. ตอบว่า อุปกิเลสทั้งหลายไม่ให้กุศลจิตเกิดขึ้นโดยส่วนใด ชื่อว่า อุปกิเลสทั้งหลายก็ย่อม มีทั้งแก่โลกิยกุศลจิต ทั้งแก่โลกุตรกุศลจิต โดยส่วนนั้นนั่นเอง" ในส่วนของโลกุตรกุศลจิตนี้ยังไม่เข้าใจค่ะ เพราะมรรคจิตและผลจิตเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในสังสารวัฏ จึงไม่เข้าใจว่าอุปกิเลสไม่ให้กุศลจิตเกิดขึ้น แก่โลกุตรกุศลจิตได้อย่างไร

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
study
วันที่ 28 ม.ค. 2550

คำว่า "จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็พึงรู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า" ในอรรถกถาสติปัฏฐานสูตรแก้ไว้ว่า หมายถึง อรูปาวจรจิต ไม่ใช่โลกุตตรจิต เพราะจิตตานุปัสสนาหมายเอาโลกียจิตและอุปกิเลสกั้นหรือห้ามไม่ให้กุศลที่เป็นไปในภูมิ ๔ หมายเอาขณะที่อกุศลเกิดขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ย. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ