ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา สมุทรสงคราม ๑๘ - ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  31 ส.ค. 2558
หมายเลข  26972
อ่าน  2,163

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๑๘ - ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจาก กลุ่มสนทนาธรรมโบ๊เบ๊ ร่วมกับ กนกรัตน์รีสอร์ท เพื่อเดินทางไปสนทนาธรรม ณ กนกรัตน์รีสอร์ท อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

กลุ่มสนทนาธรรมโบ๊เบ๊ เกิดขึ้นโดยการนำการสนทนาของคุณลุงสุกล กัลยาณมิตร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ โดยใช้สถานที่ของร้าน Young Rabbit ของคุณสดศรี สัมพันธ์ (คุณต่าย) ที่อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์เป็นที่สนทนาธรรมทุกๆ วันพุธ ซึ่งทางกลุ่มได้มีโอกาสกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมที่นี่ ถึงสองครั้งแล้ว สำหรับท่านที่สนใจ ขอเชิญคลิกชมภาพและความการสนทนาได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้าน Young Rabbit อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้าน Young Rabbit อาคารโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๘
ในครั้งนี้ กลุ่มสนทนาธรรมโบ๊เบ๊ ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และคณะวิทยากรฯ มาสนทนาธรรมนอกสถานที่ ณ กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา ของคุณสัมพันธ์ และ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล ซึ่งขออนุญาตนำความการสนทนามาให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาเช่นเคย ดังนี้ครับ

ท่านอาจารย์ มีคนที่เปรียบเทียบว่าผู้ที่เข้าใจธรรมะจากการที่ได้ฟังว่า โลกนี้ทั้งโลก ผู้ที่กำลังฟังธรรมะแล้วเข้าใจธรรมะ เหมือนกับ ปลายเข็ม ที่จรดลงที่แผ่นดิน ก็ลองคิดดู ขณะนี้ โลกกำลังคิดเรื่องอะไรกัน? กำลังทำอะไรกัน? แต่จุดนี้!! ตรงนี้!!! ก็ยังมีการ ได้ยิน ได้ฟังธรรมะ!!! ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่าเป็นสิ่งซึ่ง ไม่ง่ายแน่นอน ถ้าใครคิดว่าธรรมะง่าย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร? เคารพใคร? พระองค์จะตรัสสอนง่ายๆ ไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย เพียงแต่ไปนั่งทำ ไม่มีเลย ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะรู้ว่า ต้องเป็นปัญญาของผู้ฟัง

จะอย่างไรก็ตาม ทุกอย่าง ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้น "แต่ละคำ ต้องเข้าใจ" ก่อนอื่น คือ อะไร? เพราะว่า ความลึกซึ้งของสิ่งที่ทรงแสดงถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ลึกซึ้งมาก จนกระทั่งผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจ ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้ง ค่อยๆ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าก่อนที่จะได้ตรัสรู้ ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมี ยากมาก ทุกอย่าง เพื่อที่จะได้รู้ความจริง ซึ่งทุกคนไม่ต้องบำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะนี้ กำลังบำเพ็ญบารมี ที่จะได้เป็นสาวก คือ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็เข้าใจ

เพราะฉะนั้น ไม่ประมาท ที่คิดว่ารู้แล้ว ก็จะได้สนทนากัน ว่ารู้แค่ไหน? รู้ถูกหรือว่ารู้ผิด เพราะว่า ความเห็นก็มีสองอย่าง ความเห็นผิด กับความเห็นถูก สิ่งที่ถูก ต้องเป็นสิ่งที่ตรง ตามเหตุและผล ถ้าสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามเหตุผลเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ว่า สิ่งใดจริง ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งพูดแล้ว ไม่เป็นไปตามที่ได้ฟัง หรือว่า ลวงให้เห็นว่าเป็นอย่างอื่น ต้องเป็นผู้ที่ตรง ในการที่ศึกษาธรรมะ แล้วก็จะได้สาระจากพระธรรม เป็นสัจจะบารมี

อ.คำปั่น ธรรมะ ก็เป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่เวลาได้ฟังความจริง ก็จะมีการกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน เป็นต้น ความดี ความชั่ว ทั้งหลายทั้งปวง ก็คือ ธรรมะที่มีจริงในชีวิตประจำวันครับ ในความเป็นจริงที่แสดงถึงความละเอียด ลึกซึ้งของธรรมะ เป็นอย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ ก็เหมือนกับว่า อยู่กับธรรมะอยู่ตลอด มีธรรมะเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด แต่ก็ยังไม่เห็นว่า ความเป็นจริงของธรรมะที่ลึกซึ้งนั้น เป็นอย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ กำลังเห็นหรือเปล่า? เห็นไหม? สิ่งที่มีจริง เรื่องจริง ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นเป็น "เห็น" จะมี "เห็น" ไหม? ชัดเจน ใช่ไหม? แล้วเห็น ก็เห็น แล้วก็ดับไป เพราะมีสิ่งอื่น เช่น "ได้ยิน" ขณะที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่ขณะที่เห็นแล้ว และ เดี๋ยวนี้ กำลังเป็นอย่างนี้!!! ทุกสิ่งที่อย่างที่ปรากฏ เกิดแล้วดับ เร็ว ทันทีเลย แต่ว่า สืบต่อ ปรากฏเหมือนไม่ได้ดับเลย เพราะเหตุว่า เกิดดับสืบต่อเร็ว สุดที่จะประมาณได้ ลึกซึ้งไหม? จริงหรือเปล่า? เป็นเหตุเป็นผลหรือเปล่า? มีใครทำให้ "เห็น" เกิดขึ้นได้บ้าง?

"เสียง" เมื่อกี้ไม่มีเลย แล้ว "เสียงก็ปรากฏ" ว่ามี "เสียง" เสียงมีจริงๆ เมื่อ "ได้ยิน" เกิดขึ้น ลึกซึ้งไหม? ใครทำได้? ไม่มีใครทำได้ จึงน่าอัศจรรย์ ซึ่งมีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนี้เกิด โดยไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่มี สิ่งที่อาศัยกัน เกิดขึ้น ทำให้ปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา หรือ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชีวิตประจำวันจริงๆ เป็นธรรมะทั้งหมด

อ.คำปั่น เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหน เพราะว่ามีจริงๆ อยู่ทุกขณะ แต่ว่า จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ ก็ต้องมีเหตุที่สำคัญจริงๆ คือ ได้ฟังความจริง ได้ฟังในแต่ละคำ ที่เป็นวาจาสัจจะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่จะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลย ไม่ประมาท แม้ในขณะที่กำลังฟังพระธรรมอยู่ในขณะนี้ ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ คุณคำปั่นและหลายๆ คน ก็คงได้ยินคำนี้บ่อยๆ ใช่ไหม? "เห็น" ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด จะมี "เห็น" ได้อย่างไร? "ได้ยิน" ก็ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่มีได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้ ถ้าได้ยินไม่เกิด ไม่มีได้ยินแน่นอน ได้ยินอย่างนี้ กี่ปีแล้ว?

อ.คำปั่น ในชาตินี้ก็ สิบกว่าปีครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ แล้วต่อไปอีก อีกกี่ปี?

อ.คำปั่น เมื่อเห็นประโยชน์ ก็ฟังต่อไปครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นอย่างนี้แหละ แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้ มากแค่ไหน? บางคนก็ใจร้อนมาก ได้ยินอย่างนี้..แล้วจะทำอย่างไร?...แล้วจะรู้อย่างนี้ได้อย่างไร?...ไม่หมดความเป็นตัวตน ด้วยความติดข้อง ตกหลุมของโลภะ ของความเป็นตัวตน ล้อมรอบทุกขณะที่จะก้าวไป พลาด และ ผิด จากพระธรรมคำสอน ซึ่งทรงแสดงความจริงไว้ว่า เป็นอนัตตา พระโพธิสัตว์ไม่เคยคิดอย่างนี้เลย แล้วทำอย่างไรจะรู้เร็วๆ !! พระโพธิสัตว์ต้องเคยฟังพระธรรมมาแล้วในชาติก่อนๆ แต่ว่า ไม่เคยคิดว่า แล้วจะทำอย่างไรจะรู้เร็วๆ จะหมดกิเลส เร็วๆ !!

แต่คนสมัยนี้ ฟังอย่างนี้ อยากหมดกิเลสมาก!! ฟังมาสิบปี ยี่สิบปี เห็นก็เห็น แล้วก็ฟังว่า "เห็น" ไม่ใช่เราเลย เป็นสภาพที่ "รู้" เกิดขึ้นเห็น คือ กำลังรู้ว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เห็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ เพียงหลับตา ไม่ปรากฏ แค่ลืมตา ปรากฏได้อย่างไร? นี่เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้ มากมาย เพราะเราเห็นมาทั้งวัน เท่าไหร่แล้ว กี่ครั้ง นับไม่ถ้วน แค่วันนี้วันเดียว แล้ววันหลังๆ วันก่อนๆ ตั้งแต่เกิด หรือชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น เพียงฟังแค่นี้ โลภะ กับ ความไม่รู้ ความติดข้อง ความต้องการ ก็คิดแล้ว แล้วทำอย่างไรถึงจะรู้สักทีหนึ่ง ว่าเห็นขณะนี้ ไม่ใช่เรา "ทำอย่างไร?" มาแล้ว!!! "เรา" มาแล้ว!!! "ตัวตน" มาแล้ว!! "ความเห็นผิด" มาแล้ว!!! ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ถ้าคิดว่า มีหนทางอื่น นอกจากปัญญาของตนเองต้องมีก่อน ตามลำดับด้วย คือ ตั้งแต่ขั้นฟัง ฟังแล้วก็พิสูจน์ พิจารณาว่า จริงไหม? ขั้นฟัง "มีเห็น" จริงๆ แต่เห็น ก็ไม่ได้เห็นตลอดไป เห็นเมื่อวานนี้ หมดไปแล้ว เห็นเมื่อเช้านี้ หมดไปแล้ว เห็นเมื่อกี้นี้ก็หมดไปแล้ว แล้ว "เห็น" ที่จะเกิดขึ้นเห็น ก็ต้องหมดไป ไม่มี "เห็น" ไหน ซึ่งไม่หมด

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม จึงต้องมั่นคง เป็นสัจจญาณก่อน จากปริยัติ ถึงปฏิปัตติ ถึงปฏิเวธ หรือ จากสัจจญาณ เป็นกิจจญาณ แล้วก็เป็น กตญาณ ทรงแสดงไว้ โดยตลอด โดยประการทั้งปวง ไม่ให้ผิด ไม่ให้พลาด เพราะทางที่จะหลง มีมากเหลือเกิน เหมือนอยู่ในป่า แล้วอยู่ในความมืดด้วย จะออกจากป่าได้อย่างไร? ป่ากิเลสทั้งนั้น มืดด้วยอวิชชา มากมาย แค่ป่าตอนเย็นๆ ก็ยากแล้ว ใช่ไหม? นี่มืดสนิท แล้วป่านี่ กว้างใหญ่ขนาดไหน? หลงอยู่นั่นแหละ ไปทางไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ก็หลง เพราะไม่มีปัญญา คือ แสงสว่าง ที่จะรู้ว่า หนทางที่จะออกจากป่ากิเลส ซึ่งมีมามากมายในสังสารวัฏ จะเป็นไปได้อย่างไร

ไม่ใช่หนทางของคนอื่นเลย และ ไม่ใช่มีหลายทางด้วย "ทางเดียว" คือ ปัญญา ที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ ทีละเล็ก ทีละน้อย

ขณะใดก็ตาม ที่มีความเข้าใจถูก ว่าต้อง "ไม่ใช่เรา" ที่จะสามารถทำอะไรได้ เพราะว่า ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่าง เป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง ละเอียดมาก เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป กว่าจะละคลาย การที่เคยยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง เพราะสภาพธรรมะ ก็กำลังเกิดดับ แต่ความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง มั่นคง ไม่สามารถที่จะเห็น แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับอยู่ขณะนี้ ได้

เพราะฉะนั้น ขันติบารมี มีไหม? แล้วอย่างไร? จะไปทำอะไร ที่ไหน? จะไปขันติอะไร? แสดงให้เห็นว่า ไม่เข้าใจ แม้แต่คำว่า "ขันติ" สิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดดับ ขันติ คือ ใครรู้? ไม่ใช่เรา!!! ฟัง เข้าใจขึ้น!!! ค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย ความติดข้อง ทีละเล็ก ทีละน้อย แล้วปัญญานั้นเอง ก็มั่นคง ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจขึ้น ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมะ!!!

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะวันนี้ ก็คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง...อีกกี่กัปข้างหน้า ก็แล้วแต่ ชาติหน้า จะเป็นพระโสดาบันไหม? ฟังชาตินี้ แค่ชาติหน้า ถ้าเป็นผู้ที่ตรง ไม่มีทาง!!! เพราะไม่ใช่รู้อื่น!!! "รู้เห็น" ที่กำลังเห็น "รู้เสียง" ที่กำลังปรากฏ!!! "รู้คิด" รู้ทุกอย่างที่มีจริง ทั้งหมด ว่า "เป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง"

ต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ ในเมื่อมีจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฟังจริงๆ เข้าใจจริงๆ วันหนึ่ง ก็ต้องสามารถรู้ความจริงได้ แต่ต้องไม่ลืม บารมี ๑๐ บารมี คือ อะไรคะ คุณคำปั่นช่วยให้คำแปลด้วยค่ะ เพราะทุกคำควรจะได้เข้าใจ

อ.คำปั่น บารมี ก็เป็น คุณความดี ที่จะทำให้ถึงซึ่งฝั่งแห่งการดับกิเลส ซึ่งเมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวถึงตัวอย่างหนึ่ง คือ ขันติบารมี เป็นความอดทน แม้ในการฟัง ก็ต้องอดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษา ก่อนหน้านั้น ก็มีคำว่า "สัจจบารมี" ด้วย ก็คือ ความเป็นผู้ตรง จริงใจ ในการฟังธรรมะ ฟังเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เท่านั้น ไม่ได้เพื่อมุ่งหวังลาภ สักการะ สรรเสริญ แต่ประการใด แต่ว่า ฟังเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง

เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปความหมายของบารมี ก็คือ ความดีทั้งหลาย ทั้งปวง นั่นเอง ที่จะปราศจาก ปัญญา ไม่ได้เลย ปัญญา ก็เป็นบารมีประการหนึ่งด้วย ก็คือ ปัญญาบารมี ในเบื้องต้น ก็กล่าวเท่านี้ก่อนครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ "อกุศล" ไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่า ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น จะเป็นบารมีที่จะทำให้หมดกิเลสไม่ได้เลย "ความไม่รู้" จะทำให้หมดกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นกุศล เพราะเหตุว่า ถ้าขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้น เป็นอกุศล และ บารมีต้องเพิ่มอีกเท่าไหร่? เพราะว่า ละเลย ทอดทิ้ง ให้สภาพธรรมะเป็นอกุศลเกิดขึ้นบ่อยๆ

แต่ถ้าเป็นบารมีหนึ่ง บารมีใด ใน ๑๐ บารมี เป็นกุศลทุกโอกาส ที่จะเป็นไปได้ ที่จะทำให้ขณะนั้น อกุศลไม่เพิ่ม ทำให้การที่จะเข้าใจธรรมะ สามารถที่จะลดน้อยอกุศลลงไป เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า มีหนทางเดียวจริงๆ คือ ฟังธรรมะ และ ขณะที่ฟัง เข้าใจยากไหม? ยาก

เพราะฉะนั้น จะหมดกิเลสไหม? โดยการไม่รู้อะไรเลย!! ไม่มีเหตุผลเลย!! เป็นไปไม่ได้เลย!!!

มิฉะนั้น พระผู้มีพระภาคฯ จะทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ทำไม? ทำไมมากมายอย่างนั้น เพราะรู้ว่า ขณะนี้ ทุกคนก็เห็น แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจ "เห็น" มีความเป็นตัวตน ที่ปิดบังไว้มานานว่า "เราเห็น" แล้วก็มีความพอใจในสิ่งที่เห็นมากมายมหาศาล

เพราะฉะนั้น ที่จะสละ ละความติดข้อง แล้วรู้ความจริงว่า "เพียงแค่เห็น" ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้ จะสวยงาม จะดีงาม จะเป็นอะไรๆ ก็ตามแต่ทั้งหมด เพียงแค่ปรากฏให้เห็น!!! จริงหรือเปล่า? ทุกคำ เมื่อไหร่ก็คือเห็น แค่ปรากฏให้เห็น เพชรนิลจินดา แค่ปรากฏให้เห็น จะถือว่าเป็นของเรา ก็คือ แค่ปรากฏให้เห็น จะมาอยู่ติดตัว ก็แค่ปรากฏให้เห็น เพราะว่าสิ่งนี้ก็คือ มีจริงๆ ชั่วขณะที่มีสภาพที่กำลังรู้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เหมือนกันหมดเลย เพราะฉะนั้น "เริ่มรู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วก็ประเพณีดั้งเดิมของชาวพุทธ มีมากมาย หลายประเพณี รวมทั้งสิ้นที่เคยมีมาแล้วก็คือ ประเพณี ไม่เข้าใจธรรมะ!!! ถูกต้องไหม? ทำประเพณีอื่นได้หมดทุกอย่าง แต่ทุกประเพณีนั้น ไม่เข้าใจธรรมะ!!! แล้วควรหรือ? ที่จะไม่ทิ้งประเพณีไม่เข้าใจธรรมะ เป็นประเพณีที่ถูกต้อง คือ เริ่มเข้าใจธรรมะ!!!

มิฉะนั้น พุทธะ หรือ ชาวพุทธ หรือ สาวก คือ ใคร? ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วก็มีแต่ประเพณี ประเพณีเหล่านั้น นอกจากจะไม่เข้าใจธรรมะแล้ว ยังเสียเงิน เสียทอง มากมาย โดยไร้ประโยชน์ เคยเห็นวัดสวยๆ สวยมาก เสียเงินเสียทองมาก ในการที่จะทำให้วัดนั้นสำเร็จ แล้วเดี๋ยวนี้ ร้างเลย เป็นที่ นานๆ ก็มีคนไปดูสักหน่อย ไปกราบไหว้ว่า วัดนี้วิจิตรมาก

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ก็กำลังทำอย่างนั้นกันอยู่ พยายามที่จะแข่งขัน สร้างสิ่งซึ่งคิดว่าเป็นประเพณีที่ดีงาม แต่ว่า ทำเพื่ออะไร? ในที่สุดก็ต้องจากไป ไม่ว่าที่ไหน ลองไปดู ก็จะเห็นได้ว่า สร้างไว้เพื่ออะไร?

ต้องมีเหตุผล ถ้าไม่มีเหตุผล ใคร? ที่จะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่น ทำลายไม่ได้เลย นอกจาก ผู้ที่กล่าวว่า เป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่า นับถืออะไร? ศาสนา คือ คำสอน ถ้าไม่ฟัง ไม่เข้าใจ แล้วนับถืออะไร?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกกลุ่มสนทนาธรรมโบ๊เบ๊ และ คุณสัมพันธ์ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล เจ้าของกนกรัตน์ รีสอร์ท
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 31 ส.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกกลุ่มสนทนาธรรมโบ๊เบ๊ และ คุณสัมพันธ์ และ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล เจ้าของกนกรัตน์ รีสอร์ท
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 31 ส.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปวีร์
วันที่ 31 ส.ค. 2558

"เพียงแค่เห็น" ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้ จะสวยงาม จะดีงาม จะเป็นอะไรๆ ก็ตามแต่ทั้งหมด เพียงแค่ปรากฏให้เห็น!!! จริงหรือเปล่า?
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 1 ก.ย. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 2 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wirat.k
วันที่ 4 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สุณี
วันที่ 4 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 5 ก.ย. 2558

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 18 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ