ได้ยิน กับ ฟัง ต่างกันอย่างไร

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  24 ก.ค. 2558
หมายเลข  26818
อ่าน  8,637

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนขอคำอธิบายรายละเอียดดังต่อไปนี้ค่ะ

๑. ในฐานะ ผู้ที่เพียง ได้ยิน “เสียงที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมะ” แตกต่างกันอย่างไร กับ ผู้ที่ ฟัง “เสียงที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมะ”

๒. และ “ได้ยิน” กับ “ฟัง” ต่างกันอย่างไร

๓. “เสียงที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรมะ” มีลักษณะอย่างไร

๔. พูดถึง “เรื่องราวของธรรมะ” กับ พูดถึง “สภาพหรือตัวจริงของธรรมะ” กรุณายกตัวอย่าง ลักษณะของทั้งสองกรณี

๕. ผู้ที่ไม่รู้จักตัวธรรมะ จะสนทนาธรรมได้อย่างไร จึงจะสมควร หรือ ควรฟังอย่างเดียว

ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ได้ยิน มาจากคำว่า โสตวิญญาณ จิตได้ยิน ก็ทำกิจได้ยิน คือ ทำสวนกิจ (ก็มีคำว่า สวนะ) จึงสำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ในทางธรรม แล้ว สุตะ คือ ฟัง มุ่งหมายถึงฟังพระธรรม ฟังความจริงให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก สุตะ การสดับตรับฟังพระธรรม เป็นทรัพย์อันประเสริฐ

ส่วนคำว่า ได้ยิน (โสตวิญญาณ) เป็นจิตประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่จิตได้ยินเป็นผลของกรรม ที่เพียงได้ยินเท่านั้น แต่ยังไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองคือ เพียงแค่ได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหูเท่านั้นเอง แต่สำหรับการฟังที่เรียกว่า สุตะ ไม่ใช่เพียงได้ยิน แต่หมายถึง เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วมีการพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยิน เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องมีได้ยิน (โสตวิญญาณ) เกิดก่อนอย่างแน่นอน

ที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อมีโสตปสาทะ (หู) แล้ว มีเหตุที่จะทำให้ได้ยินเกิดขึ้นแล้ว ได้ยินได้ฟังอะไร จึงจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด การฟังพระธรรม เป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ เป็นการฟังเรื่องของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วพิจารณาจนเข้าใจ เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเอง มิฉะนั้นแล้ว ถ้าฟังเสียงอย่างอื่นที่ไม่ใช่ พระธรรม โสตวิญญาณ ที่ได้ยินเสียง ก็จะเป็นเหตุนำมาซึ่งโลภะความติดข้องยินดี พอใจ และโทสะความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจอยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ การฟังพระธรรม เป็นกุศล เป็นความดี เป็นการฟังเรื่องสัจจธรรมที่มีจริง เป็นจริงในชีวิตประจำวัน ทำให้เราเข้าใจสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าแท้ที่จริงก็เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้นจริงๆ ทำให้เข้าใจโลกและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะฟัง จะศึกษาในส่วนใดของพระธรรมคำสอนที่เป็นวาจาสัจจะ เป็นคำที่แสดงถึงความจริงที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ก็เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง ที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป นี้คือ สิ่งที่ควรพิจารณา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 25 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นคำจริงแต่ละคำ แล้วจะเข้าใจถึงตัวจริงของสภาพธรรมที่เป็นแต่ละลักษณะได้อย่างไร จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรมจริงๆ เพราะไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร ก็ล้วนแล้วแต่ส่องถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมทั้งนั้น เช่น เห็น ได้ยิน ความโกรธ ความติดข้อง ความละอายต่ออกุศล เป็นต้น ซึ่งจะต้องไม่ขาดการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 25 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanrat
วันที่ 25 ก.ค. 2558

ฟังในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา อะไร พิจารณาคำที่ได้ยินได้ฟังมา นี่คือประโยชน์ของการฟังจริงๆ แต่ถ้าคิดว่าฟังธรรมะแล้วได้บุญ ได้อย่างไร บุญคืออะไร พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง 45 พรรษา เป็นสัจจะ สาระ และประโยชน์ต่อผู้ฟังยิ่ง แต่ละเอียด ลึกซึ้ง จึง ฟังเผินไม่ได้ เพราะจะไม่ได้สาระ และก็จะไม่เป็นประโยชน์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 15 ก.ย. 2563

การฟัง ถ้าไม่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินคือคำอะไรบ้าง กว่าจะเป็นแต่ละคำ ได้ยินก็เกิดดับไปหลายขณะอย่างรวดเร็วซึ่่งปุถุชนไม่มีวันรู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้และทรงแสดงให้สาวกได้ฟังความจริงของได้ยิน

ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Jarunee.A
วันที่ 23 ก.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ