สอบถามเรื่องวิบาก

 
oom
วันที่  15 ก.ค. 2558
หมายเลข  26785
อ่าน  866

ดิฉันขอยกตัวอย่างที่ประสบมากับตัวเอง เช่น เราทำอะไรให้คนอื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ทำไมเขาถึงแปลเจตนาเราเป็นอย่างอื่น แสดงว่าเรากำลังได้รับผลจากวิบากในอดีตหรือไม่ และคนที่ไม่เห็นความบริสุทธิ์ของเราก็แสดงว่าเขาก็มีวิบากมาเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือไม่ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วิบาก เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เป็นกุศลวิบาก ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เป็นอกุศลวิบาก

กรรมมี ๒ อย่างใหญ่ๆ คือ กุศลกรรม กับ อกุศลกรรม กุศลกรรมดับไปแล้วจริงสามารถเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมเกิดได้ และอกุศลกรรมดับไปนานแล้วก็จริง แต่ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมเกิดได้

เพราะฉะนั้น กุศลวิบากหรืออกุศลวิบากในชีวิตประจำวัน ก็คือทางตาที่เห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในสิ่งที่ดี ที่น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมแล้ว จะตรงกันข้ามเลย คือทำให้ได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสในสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ โดยที่ไม่มีใครทำให้ เป็นเพราะอดีตกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้วเท่านั้นถึงคราวให้ผล ผลเช่นนั้นจึงเกิดขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม ผลของกุศลกรรม และผลของอกุศลกรรมเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด

เพราะฉะนั้น การคิดนึก ไม่ใช่วิบาก ตัวเราเองที่คิดนึกว่า เขาไม่เข้าใจเจตนาเรา ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เป็นกิเลสของตัวเอง ไม่ใช่วิบาก โดยนัยเดียวกัน คนที่มองเจตนาเราผิด ขณะนั้น คิดนึก ด้วยอกุศลจิต ไม่ใช่ เห็น ได้ยิน ก็ไม่ใช่วิบาก แต่เป็นอกุศลจิตที่เป็นกิเลสของผู้นั้นเองครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Phutporn
วันที่ 15 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรมไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น วิบาก เป็นธรรมที่มีจริง เป็นผลของกรรม เป็นนามธรรม กล่าวคือ จิต และ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นผลของกรรม ในขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ดีบ้าง ไม่ได้บ้าง ตลอดจนถึง ขณะที่หลับสนิท เป็นวิบากในชีวิตประจำวันที่พอจะเข้าใจได้ นอกจากนัันแล้วไม่ใช่วิบาก เช่น ไม่ว่าจะเป็นขณะคิดนึก ขณะที่เป็นอกุศล ถูกครอบงำด้วยความไม่พอใจ เป็นต้น ไม่ใช่วิบาก แต่เป็นอกุศลจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และ ที่น่าพิจารณา ก็คือ ยากที่จะไปเปลี่ยนใครได้ ใครจะคิดอย่างไร จะพูดอย่างไร กับเรา เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับเรา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ยากที่จะพ้นไปจากอกุศล กิจหน้าที่ของเรา คือ เข้าใจความจริงถึงการสะสมของแต่ละบุคคล อดทน มีเมตตา เห็นใจเขา และถ้าหากมีโอกาสที่จะกล่าวให้ได้เข้าใจความจริงในเหตุในผล ก็ควรที่จะได้กล่าวอธิบายให้เข้าใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tanrat
วันที่ 15 ก.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 15 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประสาน
วันที่ 16 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
oom
วันที่ 16 ก.ค. 2558

กราบขอบคุณค่ะ ที่ให้ความกระจ่าง ชนาดฟังธรรมตลอด ยังหลงลืม เรื่องวิบาก ยังเข้าใจผิด

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 18 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Jarunee.A
วันที่ 16 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ