ทำอย่างไรจึงจะละคลายโทสะและเจริญเมตตาครับ

 
apiwit
วันที่  21 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26672
อ่าน  1,512

จากการที่ได้ฟังธรรมมา ก็พอที่จะรู้บ้างว่าการกระทำใดเป็นกุศลและการกระทำใดเป็นอกุศล เช่น โทสะนี้ย่อมเป็นอกุศลและเป็นบาปมากเพราะจะทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ ผมจึงมีความปราถนาที่จะกำจัดโทสะออกไปจากใจแต่ก็ทำไม่ได้ครับ แม้จะรู้ว่าโทสะไม่ดี โทสะเป็นบาป แม้แต่กับผู้มีพระคุณบางครั้งก็มีบ้างที่เขาจะทำให้ผมเกิดโทสะ เมื่อโทสะเกิดขึ้นผมรู้เท่าทันความโกรธจึงไม่ล่วงเกินด้วยวาจา แต่ใจที่ขุ่นมัวทำให้บางครั้งมันแสดงออกทางกาย เช่น สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป

แม้ผมจะไม่ได้ล่วงเกินด้วยวาจา แต่ก็ได้ล่วงเกินไปแล้วด้วยกายและใจ แม้จะพยายามพิจารณาว่าโทสะเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา แต่ก็ยังคงเป็นเราที่ผูกโกรธ จิตใจของผมมันก็ยังคงหยาบกระด้างอยู่เหมือนเดิม. จึงขอความกรุณาจากท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะและบอกแนวทางที่จะทำให้สามารถกำจัดโทสะและความหยาบกระด้างออกไปจากใจครับ เพื่อที่จะไม่ให้มีการล่วงเกินทาง กาย วาจา และใจ และเป็นคนมีเมตตาโดยปราศจากเงื่อนไข มีเมตตาต่อทุกคนไม่เพียงแต่เฉพาะผู้ที่ทำดีกับเราเท่านั้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 มิ.ย. 2558

ขอนบอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน คือ โทสะ, โทสะหรือความโกรธเป็นสภาพธรรมที่มีจริง สามารถที่จะเกิดได้กับทุกบุคคลตราบใดที่ยังไม่ได้ดับโทสะได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย โทสะก็เกิดได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

โทสะ เป็นข้าศึกภายในที่ประทุษร้ายทันทีที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้ถูกใครประทุษร้ายเบียดเบียนเลย นอกจากโทสะซึ่งเป็นสภาพที่ประทุษร้าย ซึ่งเป็นกิเลสของเราเอง สำหรับโทสะที่ว่าเป็นข้าศึกภายในที่ประทุษร้ายทันทีที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีหลายระดับตั้งแต่เพียงขุ่นเคืองใจเล็กน้อย จนกระทั่งมีกำลังกล้าถึงขั้นประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย หรือด้วยวาจา เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลธรรม ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย มีแต่โทษโดยส่วนเดียวเท่านั้น และไม่ได้หมายเอาเฉพาะโทสะเท่านั้นที่มีโทษ ต้องหมายรวมถึงอกุศลธรรมทุกประเภทด้วย ที่มีแต่โทษโดยส่วนเดียว ไม่นำมาซึ่งคุณประโยชน์ใดๆ เลย

อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่ค่อยๆ เข้าใจถูก แต่ยาวนาน ปัญญาที่เจริญขึ้น ก็ย่อมเห็นประโยชน์ของเมตตา และ มีขันติ อดทนมากขึ้น โกรธน้อยลง แต่ เมื่อยังสะสมโทสะมามาก มีปัจจัยก็โกรธแรงๆ ได้อีกเป็นธรรมดาครับ

ผู้ที่จะดับความโกรธ ไม่เกิดอีก คือ พระอนาคามี ซึ่งแม้พระโสดาบัน ละความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ก็ยังเกิดความโกรธได้เป็นธรรมดา เพราะยังไม่สามารถละความโกรธได้หมดสิ้น เพียงแต่เบาบางลงเท่านั้น เพราะฉะนั้น ปุถุชน ที่เพิ่งเริ่มศึกษาธรรม เข้าใจเพียงขั้นการฟัง จึงเป็นผู้ที่ตรงว่า ปัญญายังน้อยมาก เพียงเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ในขั้นการฟัง ไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้ แต่ประโยชน์ของการเข้าใจถูกในขั้นการฟัง ที่เข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธรรม เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เข้าไปถึงความเข้าใจถูกระดับสูง และบรรลุมรรคผลต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาที่ยังเกิดกิเลส และแม้เข้าใจว่าเป็นธรรม กิเลสก็เกิดอีกเป็นธรรมดา หนทางที่ถูก คือ การฟัง ศึกษาพระธรรมอย่างยาวนานนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งธรรมจะทำหน้าที่ละกิเลสเองไปตามลำดับ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 22 มิ.ย. 2558
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สภาพธรรมที่เป็นข้าศึกโดยตรงกับโทสะความโกรธความขุ่นเคืองใจ คือ เมตตา ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน หวังดี ปรารถนาดีต่อผู้อื่น การอบรมเจริญเมตตา คือ การมีความปรารถนาดี ความหวังดี มีความเป็นมิตรกับผู้อื่น ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ชื่อว่าการเจริญเมตตา ซึ่งจะต้องเป็นผู้เห็นโทษของความโกรธและเห็นคุณของเมตตา ผู้ที่มีปกติอยู่ด้วยเมตตาย่อมไม่โกรธง่าย มีความอดทนต่อการกระทำและคำพูดของผู้อื่น แต่ไม่สามารถละโทสะได้อย่างเด็ดขาด การจะละโทสะได้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกเลย ต้องอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุถึงความเป็นเป็นพระอนาคามีบุคคล ซึ่งจะต้องตั้งต้นที่การฟังการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 22 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 24 มิ.ย. 2558
สภาพธรรมทุกอย่างมีเหตุปัจจัยจึงเกิดจึงเป็นไปตามนั้น เมตตาก็ต้องอบรม ต้องเจริญจึงจะมีเหตุปัจจัยให้เกิด ต้องฟังธรรม ต้องศึกษาธรรม จึงจะเข้าใจ เมื่อเข้าใจปัญญาจะทำหน้าเว้นอกุศล และ เจริญกุศลทุกๆ ประการด้วยค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jarunee.A
วันที่ 28 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ