เชียร์กีฬาซีเกมส์-2558 มีดีใจ เสียใจ สงสาร ปลื้ม น้ำตาไหล มีองค์ธรรมอะไรบ้างครับ

 
khundong
วันที่  16 มิ.ย. 2558
หมายเลข  26643
อ่าน  941

ธรรมไม่ใช่เรา เมื่ออบรมศึกษาค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กละน้อย ธรรมะมีความละเอียด ประณีต เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่อยากให้ผ่านไป การสะสมของแต่ละท่านทำให้เกิดอารมณ์มากน้อยต่างกัน ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันของเราจริงๆ ครับ เลยมีข้อสงสัยถามท่านครับ

- ขณะที่ลุ้นกีฬา รู้สึกว่าเครียดมากหัวใจเต้น เคยมีบางคนลุ้นหัวใจวายตายก็มีครับ ช่วงนักกีฬามวยเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีองค์ธรรมอะไรประกอบบ้างในขณะที่ลุ้น

- นักกีฬาของเราเป็นรอง แต่สุดท้ายแล้วก็สามารถเอาชนะได้ เมื่อชนะก็เกิดดีใจเห็นนักกีฬาแล้วน้ำตากลั้นไว้ไม่อยู่ มีองค์ธรรมอะไรเกิดในขณะนั้นครับ

- ขณะเห็นคู่ต่อสู้แพ้แล้วผู้แพ้ก็เสียใจร้องให้กันใหญ่ เราก็สงสารเขาเพราะเขาหวังไว้มากว่าจะต้องชนะเราดูแล้วก็เศร้าตามไปอีก มีองค์ธรรมอะไรประกอบบ้างครับ

- บางครั้งเมื่อนักกีฬาที่เราเชียร์เกิดพลาดแพ้ขึ้นมา ทำให้คืนนั้นนอนไม่หลับ มีองค์ธรรมอะไรประกอบบ้างครับ

- บางครั้งเมื่อเห็นนักกีฬาฝ่ายตรงข้ามเล่นดี แต่มีบางขณะอยากให้เขาแพ้ เขาพลาดและเราก็ดีใจ

* * * * กีฬามีแพ้มีชนะ มีฝ่ายดีใจ มีฝ่ายเสียใจ แต่อยากถามเป็นความรู้มาประกอบกับจิตเจตสิกครับ

ขอบพระคุณอย่างสูง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ นอกเสียจากปัญญาที่รู้ในขณะที่กำลังเกิด ไม่ใช่ขณะที่ดับไปแล้ว การศึกษาธรรม ไม่ใช่ใส่ชื่อ ในสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว เพราะไม่มีทางรู้เลย และไม่ใช่หนทางการอบรมปัญญา เพียงเวลาสั้นๆ ลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้น หนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง ไม่ใช่การจะไปรู้ชื่อว่า สภาพธรรมนั้น เป็นสภาพธรรมอะไร แต่เริ่มต้น คือ การฟังให้เข้าใจว่ามีแต่ธรรม ไม่ใช่เรา และสติและปัญญาที่จะเกิดรู้ ก็ต้องรู้ในขณะที่กำลังเกิด จึงจะรู้จริง รู้ตรง เพราะรู้ขณะที่กำลังเกิด ตรงลักษณะ และปัญญาขั้นแรก ก็รู้ว่าเป็นเพียงธรรมเท่านั้น ยังไม่สามารถแยกได้ว่า เป็น โลภะ โทสะ เวทนา อะไรประมาณได้เลย เพราะปัญญาไม่ได้ละเอียดพอ เพราะฉะนั้น ก็คิดนึกไปในสิ่งที่ดับไป ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ เพราะไม่ได้รู้ตัวจริง สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง

สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง

ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้

บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประเด็นเรื่องเชียร์กีฬาซีเกมส์ จะเห็นได้ว่าโลภะ ความติดข้องต้องการไม่เกิดเฉพาะตอนไปเชียร์กีฬา ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน ก็ไม่พ้นไปจากโลภะ ความติดข้องต้องการ มีเป็นปกติประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนมาแล้ว แล้วจะละได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่ได้มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับความยินดีพอใจในกามได้อย่างเด็ดขาดบรรลุถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความยินดีพอใจในสิ่งเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นมีเป็นธรรมดา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

สภาพธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แม้ในขณะที่กำลังเชียร์กีฬา ก็มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป สภาพธรรมต่างๆ ก็มีพร้อมที่จะให้เราได้เข้าใจ พร้อมที่จะให้ได้รู้ชัด พร้อมที่จะให้ประจักษ์แจ้งได้ เห็นมี ได้ยิน มีการจำหมายว่าเป็นทีมชาติไทย ทีมชาติพม่า เป็นต้น ขณะที่เป็นไป ความดีใจ ที่เห็มทีมของตนเองชนะ ก็เป็นไปกับโลภะที่เป็นไปกับความโสมนัส ขณะที่ทีมรัก แพ้ ก็มาคิดจนนอนไม่หลับ ขณะนั้นเป็นกุศลไม่ได้ ก็ต้องเป็นอกุศลประเภทที่เป็นโทสะ ที่เป็นไปพร้อมกับความรู้สึกไม่สบายใจ อยากให้ทีมของตนเองชนะ ก็เป็นไปกับความหวังความต้องการ เมื่อเห็นทีมแพ้ ก็เศร้าโศกเสียใจ เป็นอกุศลจิตที่มีโทสะเกิดร่วมด้วย .. ฯลฯ ...

ที่สำคัญ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก อันเริ่มมาจากการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดไม่มีตัวตนที่จะไปละกิเลส และประการที่สำคัญแต่ละบุคคลที่เป็นปุถุชนย่อมมากไปด้วยกิเลส สะสมมาอย่างมากมายในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะละให้หมดสิ้นไปในทันทีทันใด ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ยังไม่สามารถละโลภะ ได้ จะต้องละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลก่อนโดยอาศัยการอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นทางเดียวจริงๆ ที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลสไปตามลำดับ ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tanrat
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ทุกขณะที่ยังเป็นไปในรูป รส กลิ่น เสียง และยึดมั่นว่ายังเป็นตัวตน ก็ยากที่จะค่อยๆ คลาย แล้วละในที่สุด ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า"เกิดมาสบาย ทำมาหากิน แล้วอยากประสบผลสำเร็จ อยากอายุยืน พอรู้ว่าต้องจากโลกนี้ไปก็อยากไปสวรรค์" บางท่านถึงกับกล่าวว่านี่แหละที่เราแสวงหาชั่วชีวิต

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 16 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

-ขออนุญาตร่วมสนทนาธรรมด้วยค่ะ^__^

- สมจริงดังที่เคยได้ยินพระธรรมคำสอนว่า...โทสะ (ความขุ่นเคืองใจ.ความไม่สบายใจ.ความเศร้าหมอง.ให้ผลเป็นทุกข์เป็นโทษฝ่ายเดียว.เป็นธรรมที่ไม่มีประโยชน์เลย) เกิดจากการไม่ได้ในสิ่งที่โลภะ (ความติดข้องยินดีพอใจ)

- กามวัตถุ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ที่เป็นที่ตั้งของกามซึ่งคือทุกสิ่งอย่าง ยกเว้น นวโลกกุตตรธรรม ๙ ประการ

- หากไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยในการเจริญปัญญาเพื่อออกจากกามสัตว์โลกก็วนเวียนติดข้องไปทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ

- สาธุขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khundong
วันที่ 17 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kullawat
วันที่ 18 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 19 มิ.ย. 2558

ขณะใดที่ไม่ได้เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา ขณะนั้นเป็นอกุศลทั้งหมด มีทั้งโลภะ โทสะโมหะ ยากที่กุศลจะเกิด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Jarunee.A
วันที่ 31 ต.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ