ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๗

 
khampan.a
วันที่  31 พ.ค. 2558
หมายเลข  26588
อ่าน  2,220

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๗

@ ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ ขณะนั้นเบียดเบียนตน แล้วเบียดเบียนบุคคลอื่นด้วย แต่ว่าขณะใดที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ในขณะนั้นก็เกื้อกูลตน เกื้อกูลผู้อื่น แล้วก็เกื้อกูลแก่โลกทั้งหมดทีเดียว

@ ถ้าขณะใดที่เห็นแก่ตัว ขณะนั้นไม่ใช่กุศล ไม่ใช่การเกื้อกูลตนเอง ไม่ใช่เกื้อกูลบุคคลอื่น

@ พร คือ ความตั้งใจที่จะทำกุศลที่สามารถจะกระทำได้ โดยที่แม้ว่าคนอื่นจะให้พรท่านสักเท่าไรก็ตาม แต่ว่าถ้าท่านไม่ให้พรแก่ตัวของท่านเอง คือไม่ตั้งใจที่จะทำกุศลทุกประการที่สามารถจะกระทำได้ อันนั้นก็เป็นแต่เพียงความคิดเรื่องพร แต่ว่าพรจริงๆ นั้นคือ ความตั้งใจที่จะกระทำกุศล และก็กุศลก็อย่าคิดเรื่องของทานอย่างเดียว เพราะเหตุว่ากุศลควรจะเป็นทุกประการ ไม่ใช่แต่เฉพาะในเรื่องของทานเท่านั้น

@ ความโกรธกับความเมตตา เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกันจริงๆ เข้าใกล้กันไม่ได้ แต่ว่าลักษณะของเมตตากับโลภะใกล้เคียงกันมาก โลภะ ไม่ใช่เมตตา โดยรู้ว่า ความรู้สึกนั้นที่เคยเข้าใจว่าเมตตา เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์หรือไม่ ถ้าขณะใดเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ให้รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เมตตาจริงๆ แต่ว่าเป็นโลภะ

@ กำลังหลับเจริญปัญญาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่ตื่นก็เป็นอนุสติเตือนให้ระลึกว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้จะต้องรู้ความจริง ไม่ใช่ไปไถ่ถอนความเป็นตัวตนด้วยความไม่รู้อะไรเลย

@ เมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าในขณะนี้คือพระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด

@ ผู้ที่ฟังพระธรรม แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อที่จะขจัดกิเลส ขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางเดียวกัน คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นเป็นผู้ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะว่ามีจุดประสงค์อันเดียวกัน ฟังพระธรรมเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) แต่ถ้าเป็นอกุศล ไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเหตุว่า นำไปสู่คติต่างๆ ซึ่งไม่นำไปสู่พระนิพพาน

@ ผู้ว่ายาก เป็นผู้ที่ฟังอนุสาสนีแล้วไม่รับเอาโดยความเคารพ คือ ไม่ปฏิบัติตามคำสอน

@ ถ้ามีใครที่จะกล่าวสอนผู้หนึ่งผู้ใดเป็นความกรุณาของผู้นั้น เป็นความเมตตาของผู้นั้น เป็นความหวังดีของผู้นั้น แต่ก็ในเมื่อยังมีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ก็ไม่ควรที่จะคิดถึงแต่เพียงกิเลสของคนอื่น ในขณะนั้นก็จะต้องคิดถึงกิเลสของตนเองด้วย

@ เรื่องการแสดงธรรมเป็นเรื่องที่ยาก ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ไม่ว่าในกาลสมัยไหนทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าแต่ละท่านก็มีอัธยาศัยต่างๆ กัน คงจะไม่เหมือนกันไปหมด เพราะฉะนั้น ถ้ามีหลายท่านพยายามช่วยกัน และก็สามารถที่จะทำให้ใครเข้าใจธรรมได้ ก็อนุโมทนาในความสามารถของท่านผู้นั้น เพราะเหตุว่าบางท่านอาจจะทำให้ท่านผู้นี้เข้าใจได้ อีกท่านหนึ่งอาจจะทำให้ท่านผู้นั้นเข้าใจได้

@ เขาไม่ดีนั้นเรื่องของเขา ถ้าจิตของเราไม่ดีด้วย ในขณะนั้นก็ไม่ดีทั้งคู่

@ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นเรื่องชีวิตจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกๆ ชาติ และพระผู้มีพระภาคก็ทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรม และทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังเข้าใจสภาพธรรม เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทุกๆ ชาติ

@ เป็นความจริงที่เมื่อเกิดมาแล้ว ทุกคนก็ยังมีกิเลส ในชีวิตประจำวันจะเห็นได้จริงๆ ว่ายังเป็นไปตามกำลังของกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสเกิดเลยในวันหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่ทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือ ไม่ทอดทิ้งการศึกษาการฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถระลึกได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ

@ ผู้ที่มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ก็ทราบว่า วันหนึ่งท่านจะต้องจากไป แต่ว่าถ้าไม่เลี้ยงดูท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เป็นผู้ไม่เห็นคุณของมารดาบิดา เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะเห็นคุณของบุคคลอื่นได้อย่างไร แม้แต่บิดามารดาซึ่งเลี้ยงดู ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมา ให้ความสุขสบายมาตั้งแต่เกิด ผู้นั้นก็ยังไม่เห็นคุณ ยังไม่ตอบแทนคุณของท่าน เพราะฉะนั้นจะคิดถึงคุณของบุคคลอื่นก็คงจะยาก เพราะแม้แต่คุณของบิดามารดา ก็ไม่เห็น

@ ธรรมที่ได้ยินได้ฟังละเอียดและเป็นประโยชน์ที่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงให้มีอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นี่คือพระธรรมที่ทรงอนุเคราะห์

@ ถ้ามีการถูกล้อมไว้จริงๆ ก็จะรู้ว่าทุกข์นั้นมากมายสักแค่ไหน แต่ขณะนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้วทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ ยากที่จะพ้นได้จริงๆ

@ ธรรมเป็นปกติ คนส่วนใหญ่คิดว่า ธรรมต้องไปทำให้มีขึ้น ให้เกิดขึ้น แต่ว่าตามความเป็นจริงตลอดชีวิต ทุกชีวิตในสังสารวัฏฏ์ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีขณะไหนที่ไม่ใช่ธรรมเลย เพราะฉะนั้นการรู้จักธรรม ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรให้เกิดเลย เพียงแต่ว่า สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ฟัง แล้วก็รู้ว่า ปัญญาสามารถรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นคำจริงทุกคำ

@ กัลยาณมิตร ไม่ใช่คนที่จะทำให้เราโกรธ หรือรู้สึกโกรธคนนั้นคนนี้ แต่ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เราเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในบุคคลอื่นๆ

@ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส จะเห็นได้ว่า อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) นี้ มีปัจจัยที่จะเกิดได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และถ้าไม่มีปัจจัยที่จะเกื้อกูลได้ หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ก็ไม่เกิด ต่อเมื่อใดที่มีปัจจัยที่เหมาะสมที่เกื้อกูลได้ ในขณะนั้นหิริโอตตัปปะจึงเกิดได้

@ สิ่งที่เป็นคุณ จะเป็นโทษไม่ได้ สิ่งที่เป็นโทษ จะเป็นคุณ ไม่ได้

@ เป็นไปไม่ได้ที่โมหะ (ความไม่รู้) จะไปทำกิจของปัญญา

@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีสักคำที่ให้โทษ

@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา.


ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๙๖

...กราบเท้าบูชาคุณ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิต
ของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 31 พ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 31 พ.ค. 2558

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบเคารพบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลจิตอ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยความรู้คุณของพระธรรม ชีวิตที่ดำรงในแต่ละวันมีคุณค่าที่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างแท้จริง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
isme404
วันที่ 31 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 31 พ.ค. 2558

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย อย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 31 พ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Boonyavee
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
aurasa
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

กราบขอบพระคุณและขออุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kullawat
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 1 มิ.ย. 2558
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Kraisorn
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

กราบขอบพระคุณและขออุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 1 มิ.ย. 2558

เมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าในขณะนี้คือพระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
siraya
วันที่ 2 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Noparat
วันที่ 2 มิ.ย. 2558
ผู้ที่มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ก็ทราบว่า วันหนึ่งท่านจะต้องจากไป แต่ว่าถ้าไม่เลี้ยงดูท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เป็นผู้ไม่เห็นคุณของมารดาบิดา เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะเห็นคุณของบุคคลอื่นได้อย่างไร แม้แต่บิดามารดาซึ่งเลี้ยงดู ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมา ให้ความสุขสบายมาตั้งแต่เกิด ผู้นั้นก็ยังไม่เห็นคุณ ยังไม่ตอบแทนคุณของท่าน เพราะฉะนั้นจะคิดถึงคุณของบุคคลอื่นก็คงจะยาก เพราะแม้แต่คุณของบิดามารดา ก็ไม่เห็น ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 2 มิ.ย. 2558
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาด้วยครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
j.jim
วันที่ 2 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ch.
วันที่ 2 มิ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ