มีเพียงหลับกับตื่น ที่บางส่วนของเยอรมัน ออสเตรีย สโลวีเนีย 4
ปราสาทนอยชวานชไตน์
วันนี้ที่ 21 เม.ย.58 พวกเราออกจากบ้านพักสายหน่อยประมาณ 9.30 น. เพราะจะไปเที่ยว
ปราสาทนอยชวานชไตน์ที่เดินทางเพียงไม่ถึง 10 นาที คุณหนูและคุณสาธิตไปจองตั๋วเข้าชม
ตั้งแต่เช้ามืด เพราะสายๆ คนจะแน่น แค่เข้าคิวรอซื้อตั๋วก็ขาแข็งแล้ว และไปส่งคุณวีระยุทธ์ที่
จะชมพิพิธภัณฑ์ที่มิวนิคด้วยรถไฟ เพราะเธอเคยชมปราสาทนอยชวานชไตน์หลายครั้งแล้ว
ต้องขอบคุณคุณหนูและคุณสาธิตที่เสียสละเวลานอนค่ะ เป็นหัวหน้าทัวร์ต้องรับผิดชอบตั้งแต่
เมืองไทยจนกลับกรุงเทพ ฯ เป็นกุศลที่ทำได้ยากอย่างยิ่งสำหรับเรา คุณสาธิตต้องขับรถทุกวัน
คุณหนูเป็นเนวิเกเตอร์ และจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสะดวกสบายของทุกคนในกลุ่ม ขอ
ให้กุศลนี้เป็นเหตุทำให้เข้าใจพระธรรมมากขึ้นๆ เพื่อกุศลทุกอย่างจะได้เจริญขึ้นด้วยค่ะ (จัดไป
คราวหน้าอย่าลืมชวนอีกนะคะ)
เมื่อถึงปราสาท พวกเราเลือกนั่งรถม้าขึ้นไปบนเขาแทนการเดินขึ้น หรือนั่งรถบัส เวลา
เข้าชมของพวกเรา คือ 11:45 จึงไม่ต้องรีบร้อนนัก ถ่ายภาพปราสาทในมุมต่างๆ จนถึงเวลา
เข้าชม ปราสาทชื่อภาษาเยอรมันที่แปลกสำหรับคนไทยนี้ มีความหมายว่า หินหงส์ใหม่ (นอย
แปลว่า ใหม่ ชวาน แปลว่า หงส์ ชไตน์ แปลว่า หิน) เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์
แถบแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย มีอายุ
ประมาณ140 ปี ผู้ออกแบบไม่ใช่สถาปนิก แต่เป็นผู้ออกแบบฉากละคร จึงสร้างออกมาเหมือน
ปราสาทในเทพนิยาย ภายนอกดูเหมือนปราสาทในยุคกลาง แต่ภายในนั้นทันสมัยในยุคนั้น
มีระบบไฟฟ้า น้ำประปาทั้งน้ำร้อน น้ำเย็นและโทรศัพท์ ปราสาทนอยชวานชไตน์เป็นปราสาท
ที่ยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อพระเจ้าลุกวิกที่ 2 สิ้นพระชนม์ ปราสาทนี้ได้ถูกสร้างไปเพียง 1 ใน 3
ของแผนที่วางไว้ แล้วพระเจ้าลุดวิกที่ 2 เองก็เสด็จมาประทับที่ปราสาทแห่งนี้เพียง 170 วัน
เท่านั้น หลังจากสิ้นพระชนม์เชื้อสายของพระองค์ได้เปิดให้ประชาชนได้ชื่นชมภายในบางส่วน
โดยเก็บค่าเข้าชมเป็นค่าทะนุบำรุงซ่อมแซม และทำรายได้มหาศาลให้กับรัฐในภายหลัง ถ้า
เป็นช่วงหน้าร้อนของยุโรปนักท่องเที่ยวจะแน่นขนัด มีทั้งคนเยอรมันเองและนักท่องเที่ยวจาก
ทั่วโลกที่ต้องการมาชมปราสาทในเทพนิยายแห่งนี้สักครั้งเป็นบุญตา ภายในปราสาทได้ชม
ห้อง Throne Hall หรือห้องราชบังลังก์ ดูยิ่งใหญ่อลังการ สีเหลืองทองอร่ามในศิลปะแบบไบ
แซนไทน์ แต่ห้องนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เพราะขาดสิ่งสำคัญที่สุดของห้อง ก็คือบัลลังก์นั่นเอง
โคมระย้าที่ตั้งอยู่กลางห้องมีน้ำหนักถึง 900 กิโลกรัม สามารถชักรอกลงมาได้เพื่อทำความ
สะอาดหรือเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่ได้ ที่พื้นห้องประดับเซรามิกเป็นรูป 12 ราศี ไกด์อธิบายว่า
พระเจ้าลุกวิกสนใจพระพุทธศาสนาด้วย แต่ในสมัยนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม จึงประดับไว้ที่พื้นห้อง
(คงเป็นพระพุทธศาสนามหายาน) จากนั้นชมห้องบรรทมของพระเจ้าลุดวิกซึ่งสร้างขึ้นในศิลปะ
แบบโกธิก มีงานแกะสลักไม้อย่างวิจิตรบรรจง ภาพวาดในห้องนี้มาจากอุปรากรเรื่อง Tristan
and Isolde ของวากเนอร์ ข้างๆ พระเก้าอี้สีน้ำเงินเป็นโต๊ะสำหรับล้างพระพักตร์ ใช้เทคโนโลยี
น้ำประปายุคปัจจุบันให้น้ำไหลผ่านคอหงส์เงิน ห้องชั้นบนสุดของปราสาท เรียกว่า Singers
Hall เป็นห้องที่ใช้สำหรับจัดแสดงอุปรากรของวากเนอร์โดยเฉพาะ มีการออกแบบระบบอคูส
ติกของห้องเป็นอย่างดี และแน่นอนภาพวาดที่ประดับห้องนี้มาจากอุปรากรเรื่อง Parsifal ของ
วากเนอร์ แต่กษัตริย์ลุดวิกไม่มีโอกาสได้ทอดพระเนตรการแสดงในห้องนี้ เพราะสิ้นพระชนม์
เสียก่อน ทั้งหมดนี้ห้ามถ่ายภาพ ข้อมูลบางส่วนมาจาก เว็บไซต์ WonderfulPackage
ขอขอบคุณค่ะ
ชมปราสาทเสร็จก็กลับที่พัก ความจริงมีปราสาทใกล้ๆ ที่เป็นของพระราชบิดาของกษัตริย์
ลุกวิกที่ 2 สามารถเข้าชมได้ในวันเดียวกัน และเมืองฟุซเซ่นยังมีปราสาทให้ดูชมอีกหลายแห่ง
แต่เมื่อกลับไปรับประทานอาหารแบบปิกนิกริมทะเลสาบ (ฝีมือคุณแอ้นเจ้าเก่า) หน้าบ้านพัก
แล้ว ท่านอาจารย์และอีกหลายท่านไม่ออกไปชมเมืองต่อ ท่านสนทนาธรรมที่ริมทะเลสาบ
ส่วนเราต้องรับใช้นายใหญ่อย่างเคย จึงออกไปชมเมืองมรดกโลกอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน
คือ เมืองอูเบอร์รัมเบอเกา (Oberamagau) ที่ผนัง กรอบหน้าต่าง ประตูของอาคารแต่ละหลัง
วาดภาพด้วยสี fresco สวยงามมาก ขากลับแวะรับคุณวีระยุทธ์ที่สถานีรถไฟฟุซเซ่น เวลา
18:00 น. ซึ่งยังไม่มืด สองทุ่มก็ยังไม่มืด แต่ต้องรีบกลับไปบ้านพัก ทั้งๆ ที่อยากไปเที่ยวเมือง
ฟุซเซ่นที่ผ่านไปมาหลายรอบ แต่ยังไม่ได้แวะเยี่ยมชม เพราะคุณนายแอ้นต้องไปทำอาหารเย็น
เมื่อถึงที่พักคณะสนทนาธรรมยังไม่จบ แต่ย้ายไปสนทนาธรรมริมทะเลสาบ เราตามไปสมทบ
ท่านอาจารย์พูดถึงความติดข้อง ความรักลูกในชาตินี้ว่ามากมายขนาดไหน แต่ถ้าลูก
ตายไปแล้วเกิดเป็นปลา ตุ๊กแก จิ้งจก จะตามไปรัก ไปห่วงใยไหม และถ้าอาจารย์สงบเคยเป็น
ลูกของท่านสพรั่งในชาติก่อน จะสามารถรักอาจารย์สงบเหมือนลูกของตนในชาตินี้หรือไม่
ซึ่งแค่นึก ท่านก็ขำว่า จะรักอาจารย์สงบอย่างลูกชายของท่านได้อย่างไร ท่านอาจารย์สรุปว่า
ไม่ใช่คน หรือวัตถุที่ทำให้ติดข้อง แต่เพราะโลภะต่างหากที่ติดข้อง รักใคร่ ห่วงใยสิ่งที่คิดว่า
เป็นตน เป็นของตน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปทุกชาติ ไม่ใช่คนเดิม สิ่งเดิม แม้ขณะเดี๋ยวนี้สิ่งที่ติด
ข้องก็เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ ไม่คงเดิมอยู่ได้ ตัวเราและลูกเราก็ต้องแก่ไปทุกขณะ มีทั้งแก่
ทั้งเจ็บ ทั้งตายด้วยกันทุกคน แล้วต่างก็เกิดเป็นคนใหม่ซึ่งไม่รู้จักกันในฐานะเดิมอีกต่อไป