ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘๖

 
khampan.a
วันที่  15 มี.ค. 2558
หมายเลข  26314
อ่าน  2,413

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘๖

# การที่กรรมมีโอกาสจะให้ผลได้ ก็เพราะเหตุที่ยังมีกิเลสอยู่ เป็นปัจจัย แต่ถ้ากิเลสดับ ขันธ์ยังไม่ดับ ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้อดีตอกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้วิบากจิตเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าขันธ์ดับหมด เป็นปรินิพพาน ไม่มีปัจจัยที่จะให้กรรมในอดีตให้ผลอีกได้เลย เพราะฉะนั้น ถ้าดับกิเลสหมด แต่ยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้วิบากเกิด จนกว่าจะถึงปรินิพพาน แต่เมื่อปรินิพพานแล้ว ดับโดยรอบจริงๆ ก็จะไม่มีกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดอีกได้

# เรื่องของการดับกิเลส เป็นเรื่องยากมากจริงๆ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ก็จะได้พิจารณาโดยถูกต้องแยบคายในชีวิตประจำวัน เพื่อให้กุศลจิตเกิดเพิ่มขึ้น แทนที่จะคำนึงถึงเฉพาะจะให้บรรลุถึงขั้นการดับกิเลส เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะดับกิเลสทั้งหมดได้ โดยปัญญาไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยในขณะนี้

# กระวนกระวาย เดือดร้อน กระสับกระส่าย ดิ้นรนด้วยความริษยา ในขณะนั้นลักษณะของความรู้สึกที่ไม่สบายนั้น เป็นลักษณะของความรู้สึกที่ไม่ดี เป็นโทมนัสเวทนาเกิดขึ้นได้เฉพาะกับโทสมูลจิตเท่านั้น โทมนัสเวทนาจะเกิดกับจิตอื่นไม่ได้เลย จะเกิดกับโลภะไม่ได้ จะเกิดกับโมหะไม่ได้ ต้องเกิดกับเฉพาะจิตที่มีโทสะเป็นมูล (โทสมูลจิต) เท่านั้น

# ทุกคนมีชีวิตอยู่ตามกรรม แล้วแต่ว่าขณะใดกรรมใดให้ผล กุศลกรรมให้ผล หรืออกุศลกรรมให้ผล

# พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเกิดอกุศลแม้ประเภทหนึ่งประเภทใดเลย ทรงแสดงโทษของอกุศลทั้งปวง เพื่อที่จะให้พุทธบริษัทได้พิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามกำลังของปัญญา แต่ถ้าผู้ใดระลึกได้ สติเกิด ขณะนั้นก็เป็นกุศลแทนอกุศล

# เมื่ออกุศลจิตในชีวิตประจำวันเกิดแล้วดับลง ก็จะสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อๆ ไป เป็นอุปนิสยปัจจัยที่จะทำให้มีกำลังให้อกุศลประเภทนั้นๆ เกิดขึ้นอีก อย่างคนที่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยพอเลย ต่อๆ ไปก็จะมีลักษณะอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าพอ ก็ยังคงมีความต้องการอยู่มากๆ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนมีโลภะมาก ยังไม่พอกันอยู่ทั้งนั้น แต่ว่าความไม่พอของใคร หรือว่าความต้องการของใครจะมีกำลังที่ปรากฏ แสดงให้รู้ทางกาย ทางวาจา ที่น่ารังเกียจ นี่ก็เป็นขั้นหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงโลภะประเภทนั้นๆ ที่เคยเกิดมามาก เพราะฉะนั้น ก็มีกำลังที่จะทำให้กาย วาจาของบุคคลนั้นในภพนี้ชาตินี้ เป็นอย่างนั้น ถ้าอกุศลมีกำลังขึ้น เจตนาที่เกิดร่วมด้วยกับอกุศลจิตนั้นๆ ก็เป็นอกุศลกรรมบถอย่างใดอย่างหนึ่ง ในอกุศลกรรมบถ ๑๐ มีการฆ่าสัตว์ หรือมีการถือเอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้เป็นของตน มีการประพฤติผิดในกาม หรือมีการมุสาวาท เป็นต้น ขณะนั้นถ้าอกุศลกรรมบถนั้นครบองค์ของอกุศลกรรมบถนั้นๆ เมื่อให้ผล ก็จะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้ แต่ถ้าไม่ครบองค์ ก็ยังจะเป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากเกิดหลังจากปฏิสนธิแล้วได้

# ถ้าสะสมความพอใจในรูปอย่างใดไว้มาก หรือว่าความพอใจในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) เนิ่นนานมาในสังสารวัฏฏ์ ก็ไม่สูญหาย ยังคงปรากฏเป็นความชอบในสิ่งนั้นๆ อยู่ ในปัจจุบันชาติ

# บางคนหงุดหงิด เป็นคนที่หงุดหงิดมากเลย บางคนก็ใจน้อย คิดมาก บางคนก็มองทุกอย่างในแง่ร้าย เห็นแต่ความผิดของคนอื่นทุกวัน ตั้งแต่ลืมตา ทุกคนจะต้องมีข้อบกพร่อง สิ่งนั้นไม่ดีเพราะคนนี้ สิ่งนี้ไม่ดีเพราะคนนั้น สะสมอะไรมา ที่เป็นอนุสัย? ปฏิฆานุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต คือ ความกระทบกระทั่ง หรือ โทสะ)

# ธรรมดาบัณฑิตไม่พูดวาจาที่ประกอบด้วยความจริง แต่ไม่ดี ถ้าไม่เป็นประโยชน์แล้ว แม้ว่าเป็นความจริง ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร

# อรรถกถาสาธุสีลชาดก มีข้อความ ว่า "คนมีศีลวิบัติแล้ว แม้เมื่อมีรูปสมบัติก็น่าตำหนิ เพราะฉะนั้น รูปสมบัติหาเป็นประมาณไม่ เราชอบความเป็นผู้มีศีล” นี่ก็แสดงให้เห็นว่า รูปไม่สำคัญ แต่คุณธรรม คือ กุศลทั้งหลาย สำคัญกว่า

# เรื่องกิเลสเป็นเรื่องที่ละยาก ยิ่งได้ฟังชาดกต่างๆ ในแสนชาติ ในแสนกัปป์มาแล้ว ของพระสาวกรูปนั้น พระอรหันต์ท่านนี้ ก็จะเห็นว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ต้องสะสมอบรมบารมีทุกประการ แต่แม้การที่จะดับกิเลสเป็นเรื่องยาก แต่ก็มีหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลสได้ มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถจะหมดความสงสัยในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องยาก แต่ไม่มีหนทาง ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องยาก มีหนทาง แต่หนทางนั้นก็ยากด้วย แต่ก็ไม่พ้นวิสัยที่จะค่อยๆ อบรมเจริญไป

# แม้พระผู้มีพระภาคผู้ตรัสรู้แล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะปลดเปลื้องความสงสัยในธรรมของใครๆ ได้ นอกจากผู้นั้นจะอบรมเจริญปัญญาของตนเอง

# พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นแสงสว่างที่ทำให้ทุกท่านรู้จักตนเองดียิ่งขึ้น ซึ่งก็จะต้องเป็นผู้ที่พิจารณาโดยละเอียด จึงจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง

# ผู้ที่เป็นปุถุชน คือ ผู้ที่หนาด้วยกิเลส เพราะฉะนั้น ก็น้อมไปสู่กิเลสที่หนาอยู่เรื่อยๆ วันนี้อยากจะสนุกอย่างไรบ้าง เพียงไม่ใช่พอใจในชีวิตที่จะเกิดมา เป็นไปแค่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย) แต่ยังเพิ่มขึ้นถึงขั้นความสนุก ความติด ความเพลิน กิเลสที่หนา เมื่อทราบแล้วก็จะได้มีเครื่องวัดความหนาของกิเลสของตัวเองว่า ที่ว่าหนา นั้น หนาจริงๆ ทางตา ขณะใดที่ยังไม่รู้ ก็ต้องหนามาก ทางหูก็หนามาก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็หนามากเช่นเดียวกัน

# ปุถุชน ยังจะต้องเกิดในคติ ทั้งที่เป็นสุคติและทุคติ อีกมากมายในสังสารวัฏฏ์ ย้อนถอยหลังไปก็มากมาย และเมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ยังต้องมีคติ ที่จะต้องไปอีกมากในอนาคต

# ขณะนี้ มีขันธ์ ๕ ครบ แต่การรู้ว่า ไม่ใช่เรา ยาก

# เมื่อมีความไม่รู้ เมื่อมีความเห็นผิด จึงมีการอบรมเจริญปัญญา

# หลายคนจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่ได้เข้าใจความจริงของพระธรรม

# ถ้าชาตินี้ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติหน้าจะรู้จักได้อย่างไร

# มีคนอื่นเป็นที่พึ่ง ก็แสดงว่าไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

# ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่ออนุเคราะห์ให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง

# เมื่อเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ที่จะไม่เป็นไปเพื่อปัญญา ไม่มี

# อกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นโทษกับตนเอง

# จะเห็นผิดไปอีกนานกี่ชาติ ถ้าไม่เริ่มละความเห็นผิด

# ถ้าเข้าใจถูกแล้ว ก็ต้องถูกโดยตลอด

# หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางละความไม่รู้ ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๘๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paew_int
วันที่ 15 มี.ค. 2558

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Boonyavee
วันที่ 15 มี.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของอ. คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 15 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 15 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ms.pimpaka
วันที่ 16 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 16 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 มี.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
siraya
วันที่ 16 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 16 มี.ค. 2558

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 16 มี.ค. 2558

ไม่มีใครสามารถที่จะดับกิเลสทั้งหมดได้ โดยปัญญาไม่เกิดขึ้นระลึก

รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยในขณะนี้

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 17 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nong
วันที่ 19 มี.ค. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pulit
วันที่ 19 มี.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ กุศลศรัทธา ของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ch.
วันที่ 21 มี.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ