ผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิ

 
thilda
วันที่  6 พ.ย. 2557
หมายเลข  25739
อ่าน  1,860

เรียนถามอาจารย์ค่ะ ผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิที่ร่างกายเติบโตขึ้นทันที จะทราบไหมคะว่าเพราะกรรมใดจึงทำให้เกิดในภูมินั้นค่ะ หรือขึ้นอยู่กับผู้นั้นเอง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบายภูมิ คือ ภูมิที่ต่ำ ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญ ประกอบด้วย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต และ อสุรกาย ซึ่งผู้ที่ปฏิสนธิในภพภูมินี้ด้วยอกุศลกรรม คือ การล่วงกรรมบถ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง ล่วงศีล ๕ เมื่อกรรมสำเร็จครบกรรมบถ และเหตุปัจจัยพร้อม ย่อมนำเกิดในอบายภูมิได้ ครับ

ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ย่อมมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป ตายแล้วก็ต้องเกิด และเกิดทันทีด้วย (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่) การเกิดอีกนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้น เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ก็ได้ เกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลกก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิก็ได้ ขึ้นอยู่กับกรรมเป็นสำคัญ

ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ อย่างแน่นอน ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ไปได้ แม้บุคคลที่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ท่านก็ยังต้องเกิดอีก แต่เกิดไม่เกิน ๗ ชาติและเกิดเฉพาะในสุคติภูมิเท่านั้น เพราะเหตุว่าพระอริยบุคคลจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ แต่ปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ยังดับไม่ได้และยังไม่ได้เบาบางลงไปเลย ถึงอย่างไรก็ต้องได้เกิดอีก ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทั้งในสุคติภูมิและอบายภูมิอีกอย่างนับชาติไม่ถ้วน

เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ กับการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรที่จะได้พิจารณาว่าชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ ชาติหน้าอาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งจะประมาทในชีวิตไม่ได้เลย เพราะถ้าหากอาศัยความประมาทเพียงนิดเดียว อาจจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ปราศจากความเจริญในกุศลธรรม หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น ด้วยเวลาเท่าที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ จึงควรเป็นไปเพื่อการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ และเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ต่อไป เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งจริงๆ สำหรับทุกชีวิต ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง วัตถุ หรือ บุคคลรอบข้าง แต่เป็นกุศลธรรมเท่านั้น.

[๖๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีประมาณน้อย สัตว์ไปเกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มีมากกว่ามากทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ไม่ประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้นั่นแหละ.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 6 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 6 พ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูล เท่าที่จะเข้าใจได้ คือ การเกิดในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรม ถ้ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิได้ เพราะเหตุว่าโลภะ โทสะ โมหะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ วันหนึ่งๆ มีมากมายเหลือเกิน นี้แหละที่จะเป็นเชื้อที่จะนำไปสู่อบายภูมิได้ เพราะเหตุว่าถ้ากุศลจิตนั้นมีกำลังมากขึ้นทำให้กระทำกุศลกรรม ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิได้

ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปในชาตินี้ รวมไปถึงในชาติก่อนๆ ที่ผ่านมา ด้วย ก็ไม่ทราบว่าได้กระทำกุศลกรรม มาแล้วมากน้อยเพียงใด ถ้ายังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ถ้ากรรมที่เป็นกุศลให้ผลทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น นั่นหมายถึงว่าก็จะหมดโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของอบายภูมิ เช่น นรก เป็นต้นนั้น ก็เพื่อที่จะเตือนให้ทุกคนเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ไม่ประมาทกำลังของกิเลส และไม่ประมาทในการอบรเจริญปัญญา เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากการที่จะต้องเกิดในอบายภูมิ และจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 6 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 6 พ.ย. 2557

ขอโทษทีค่ะ คำถามคงไม่ชัดเจน หมายถึงว่า ผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิที่ว่านะค่ะ ตัวเขาเองจะรู้ไหมคะว่า เขาทำกรรมอะไร จึงได้เกิดในภูมินั้นค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปวีร์
วันที่ 7 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tanrat
วันที่ 7 พ.ย. 2557

รู้ความจริงอย่างนี้แล้วค่อยๆ พิจารณา ไม่ใช่ให้เกิดโลภะว่า ไม่อยากไปเกิดในอบาย กลัวที่จะต้องไป ขณะที่คิดอย่างนั้นก็สะสมโทสะเข้าไปแล้ว ต้องปฏิบัติธรรมสมควรธรรมโดยการพิจารณาโดยแยบคาย แล้วค่อยๆ ละคลาย เจริญเหตุให้ตรงกับผล นี่แหละเป็นจีระกาลภาวนา

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 8 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 8 พ.ย. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 10 พ.ย. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Dechachot
วันที่ 10 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
papon
วันที่ 11 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
แต้ม
วันที่ 3 ก.พ. 2558

พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ว่า

ผู้ที่กระทำอกุศลกรรมบท ๑๐ ก็จะนำให้ไปสู่อบายภูมิ มี นรก เปรต อสูรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น แต่ถ้าได้ศึกษาให้รอบด้านและมากขึ้น จะพบว่า พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้เราไม่ประมาทจงรีบเพียรในการทำความดี ถึงแม้พระพุทธองค์จะตรัสไว้ดังนั้นว่าไปสู่อบายภูมิ เราก็ไม่สามารถรู้ได้ พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า "ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง เหตุนี้เป็นเครื่องให้เราเมื่อแตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๑ ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วไม่มี เราไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ เป็นสุข บริหารตนอยู่ในปัจจุบันนี้ ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๒ ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ชื่อว่าทำบาป เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใครๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๓ ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็นตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๔ นี้ ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่มีเศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้ว อย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แลในปัจจุบัน ฯ"

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 29 พ.ค. 2563

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ