(เกือบ) ถอดใจ ... ที่อินเดีย3

 
kanchana.c
วันที่  27 ต.ค. 2557
หมายเลข  25690
อ่าน  1,956

ฝ่า (หาง) พายุไปพระเชตวัน

วันรุ่งขึ้น 14 ต.ค. 57 ออกเดินทางไปสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศลในอดีตที่เคยรุ่งเรือง ตามกำหนดการต้องออกเดินทางจากโรงแรม Linegae ลัคเนาว์ตอน 7 โมงเช้า เพื่อไปทาน อาหารกลางวันที่โรงแรม Nikko Lotus สาวัตถี แต่เนื่องจากฝนตกหนักมากในตอนเช้า และ โรงแรมมีขนาดเล็ก รถบัสไม่สามารถจอดหน้าโรงแรมได้ บ๋อยจึงต้องวิ่งฝ่าสายฝนเอากระเป๋า ของคน 101 คนไปใส่รถบัส 3 คัน กว่าจะเสร็จออกเดินทางได้ก็เวลา 8 โมงเช้า ไกด์อินเดีย บอกว่า ฝนจะตกติดตามเราไปอีก 5 วัน ไม่เป็นไร ถึงเป็นไรก็เป็นกัน มาถึงอินเดียแล้วนี่ จะ กลัวฝนทำไม ไม่เคยเห็นฝนตกและพายุสักที มาคราวนี้จะตกให้ดูถึง 5 วัน ก็เชิญตามสบาย นะคะ คุณ Hudhud

รถวิ่งฝ่าสายฝนและหางพายุ มองจากต้นไม้ข้างทางรู้ว่า ลมพัดแรงมาก แต่เหมือนดูภาพจาก ทีวี เพราะรถปิดกระจกแน่นหนา ไม่ได้ยินเสียงลมและสัมผัสลมพายุเลย สิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงปรากฏเป็นสีแสง แต่เมื่อรู้ว่าลมพัดแรงเพราะต้นไม้โยกโคลงไปมานั้นเป็นความคิดนึก ต่อจากการเห็น ไม่ใช่ขณะที่เห็น คิดกับเห็นก็ไม่ใช่สภาพธรรมะอย่างเดียวกัน แต่ละขณะก็ เป็นแต่ละหนึ่ง เมื่อยังไม่ประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมะ ก็ยังอยู่ในโลกสว่างตลอดเวลา ไม่ใช่โลกมืดที่มีสภาพธรรมะแต่ละอย่างปรากฏ เฉพาะเห็นเท่านั้นที่สว่าง นอกนั้นเป็นโลกมืด รถแล่นไปสักพักก็จอดสนิท มีการติดต่อมาจากรถคันหน้าว่า มีต้นไม้ล้มขวางถนนอยู่ คงต้อง รอให้ตัดต้นไม้เสร็จก่อน เราก็คิดว่า กรมทางหลวงหรือหน่วยราชการหนึ่งหน่วยใดของอินเดีย คงจะทำหน้าที่นี้ และคงต้องใช้เวลานาน ระหว่างนี้ก็ลงไปทำธุระลดน้ำหนักกันก่อน มีบาง ท่านเดินลงไปสำรวจข้างหน้า กลับมาเล่าว่า ต้นไม้ล้มนั้นมีกิ่งหนึ่งฟาดศีรษะหลานชายคน หนึ่งขณะที่ไปปัสสาวะและเดินกลับรถ สลบไป โชคดีที่รถคันนั้นมีหมอถึง 3 ท่าน จึงช่วยกัน ปฐมพยาบาลจนอาการดีขึ้น ภายหลังหลานเล่าให้คณะฟังว่า ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่ฝันว่า เหมือนมีคนทะเลาะกัน พอฟื้นรู้สึกตัวเต็มที่ก็คิดว่า ที่ว่าคนทะเลาะกันนั้นคงเป็นสหายธรรม ที่มาช่วยกันปฐมพยาบาลนั่นเอง

เราไม่ต้องรอนาน รถก็แล่นไปได้ ผ่านต้นไม้ล้มถึงรู้ว่า ที่รวดเร็วเพราะชาวบ้านพอได้ยินเสียง ต้นไม้ล้ม ต่างคนก็ถือมีด ขวาน เลื่อย มาช่วยกันตัด แล้วแบกกลับบ้าน ทั้งเด็กผู้ใหญ่ เป็น สมบัติที่มีค่า

แล่นมาอีกไม่นาน ต้นไม้ใหญ่ก็ล้มขวางถนนอีก โชคดีของรถคันเรา ที่มีรถเก๋งมาแทรกกลาง ทำให้ต้นไม้ล้มใส่กระจกหน้ารถเก๋งแตก ต้องกลับรถวิ่งกลับไปทางเก่า ไม่อย่างนั้นรถคันเราก็ จะโดนต้นไม้ล้มฟาดเสียเอง แล้วก็ได้เห็นภาพชาวบ้านแย่งกันตัดต้นไม้ เอากลับไปบ้าน วิบัติของคนหนึ่งคือสมบัติของคนหนึ่ง ตามทฤษฎี ZERO SUM ถ้าไม่มีสัตว์ บุคคล เดี๋ยวได้ เดี๋ยวเสีย รวมกันก็เป็นศูนย์ (อันนี้อธิบายเอง ไม่ใช่ตามทฤษฎีเกมส์)

ตอนแรกๆ ก็ตื่นเต้นที่เห็นต้นไม้ล้มขวางทาง คอยนับว่าล้มกี่ต้นแล้ว นานๆ ไปก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนขี้เกียจนับ นึกถึงท่านปฏาจาราเถรีที่ท่านหนีออกจากบ้านพ่อแม่ซึ่งเป็นเศรษฐีในเมือง สาวัตถี ตามสามีชาวชนบทไปอยู่ด้วยกัน จนมีลูก เมื่อจะคลอดลูกคนแรกก็ขอให้สามีพาไป บ้านพ่อแม่ แต่ก็คลอดเสียกลางทาง พอจะไปคลอดลูกคนที่ 2 ที่บ้านพ่อแม่ก็หนีสามีไป แล้ว ระหว่างทางก็เจอพายุ สามีตามมาทัน รีบไปตัดกิ่งไม้ทำเพิงให้ท่านคลอดลูก แต่ก็ถูกงูกัดตาย เมื่อนางคลอดแล้วก็ตามหาสามีที่หายไป พบว่าตายแล้ว ก็อุ้มลูกเล็ก และจูงลูกคนโตเดิน ทางต่อไป ท่านต้องข้ามแม่น้ำ จึงอุ้มลูกคนเล็กไปวางไปอีกฝั่งหนึ่ง ให้ลูกคนโตคอยอยู่อีกฝั่ง หนึ่ง เมื่อวางลูกทารกแล้วก็เดินกลับมารับลูกคนโต ระหว่างกลางแม่น้ำ เหยี่ยวเห็นเด็กตัว แดงๆ เป็นชิ้นเนื้อ จึงบินโฉบมาจับไป ท่านเห็นดังนั้นจึงโบกมือไล่เหยี่ยว ลูกคนโตที่ไร้เดียง สาคิดว่า แม่เรียก จึงเดินลงน้ำหายไปในสายน้ำเชี่ยว ท่านเสียใจมากเดินทางต่อไปยังกรุง สาวัตถีเพื่อหาพ่อแม่และพี่ชาย พบคนเดินผ่านมาก็ถามถึงพ่อแม่ ได้รับคำตอบว่า ลมพายุเมื่อ คืนนี้ได้พัดบ้านพัง พ่อแม่และพี่ชายถูกบ้านทับเสียชีวิตหมดแล้ว เพิ่งเผาที่เชิงตะกอนที่ยัง เห็นควันลอยอยู่ ท่านเสียใจจนเสียสติ เดินร้องไห้ เสื้อผ้าหลุดรุ่ยจนถึงพระวิหารเชตวัน ขณะ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ธัมมสภา เมื่อได้ฟังธรรมก็บรรลุเป็นพระ โสดาบัน

ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เรียนธรรมะ แต่สนใจแต่เนื้อเรื่องที่แสนเศร้าว่าเป็นอย่างไร บัดนี้ เป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยมานานแล้ว ความรู้ความเข้าใจธรรมะมากขึ้น ก็อยากจะรู้ว่า ท่าน ฟังธรรมะอะไรจึงได้บรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งๆ ที่มีความโศกอย่างที่สุดเช่นนั้น ไปค้นอรรถ กถาปฏาจาราเถรีคาถา มีข้อความว่า

... ขณะนั้น นางจำไม่ได้ว่าตนปราศจากผ้านุ่งห่มฟุบล้มลง โดยรูปที่เกิด เพราะเป็นคนบ้าด้วย ความเศร้าโศก นางจึงวนเวียนเพ้อรำพันว่า

ลูกทั้งสองก็ตาย สามีเราก็ตายที่หนทาง บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน. นับตั้งแต่นั้นมา นางก็มีสมญาว่า ปฏาจารา เพราะมีอาจาระตกไป เหตุไม่เที่ยวไปด้วยผ้า แม้แต่เพียงผ้านุ่ง. ผู้คนทั้งหลายเห็นนาง บางพวกก็โยนขยะลงบนศีรษะ พร้อมทั้งขับไล่ว่า ไปอีคนบ้า. บางพวกก็โปรยฝุ่น อีกพวกหนึ่งก็ขว้างก้อนดินท่อนไม้.

พระศาสดากำลังประทับนั่งทรงแสดงธรรมท่ามกลางบริษัทหมู่ใหญ่ ณ พระเชตวันวิหาร ทอด พระเนตรเห็นนางกำลังวนเวียนอย่างนั้น และทรงสำรวจดูความแก่กล้าแห่งญาณ ได้ทรงทำ โดยอาการที่นางจะบ่ายหน้ามายังพระวิหาร.

บริษัทเห็นนาง จึงกล่าวว่า อย่าให้หญิงบ้ามาที่นี่นะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าห้ามนางเลย. เมื่อนางมาถึงที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า แม่นางจงกลับ ได้สติ. ในทันใด นางก็กลับได้สติ เพราะพุทธานุภาพ รู้ตัวว่าผ้าที่นุ่งหลุดหล่นหมดแล้ว เกิดหิริ โอตตัปปะขึ้นมาก็นั่งคุกเข่าลง. ชายผู้หนึ่งก็โยนผ้าห่มให้ นางนุ่งผ้านั้นแล้วก็เข้าเฝ้าพระ ศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ด้วย เหยี่ยวเฉี่ยวเอาบุตรของข้า พระองค์ไปคนหนึ่ง คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายที่หนทาง บิดามารดาและพี่ชายก็ถูกเรือน ล้มทับตาย เขาเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน. นางก็ทูลเล่าถึงเหตุแห่งความเศร้าโศก.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนปฏาจารา เจ้าอย่าคิดไปเลย เจ้ามาหาเราซึ่งสามารถจะเป็นที่พึ่ง ของเจ้าได้ ก็บัดนี้เจ้าหลั่งน้ำตา เพราะความตายของลูกเป็นต้นเป็นเหตุฉันใด ในสังสารวัฏที่ มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายตามไปไม่รู้แล้วก็ฉันนั้น น้ำตาที่หลั่งเพราะความตายของลูกเป็นต้นเป็น เหตุยังมากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้งสี่อีก.

เมื่อทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถาว่า น้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ยังมีปริมาณน้อย ความเศร้าโศกของนรชนผู้ถูกทุกข์กระทบแล้ว น้ำของ น้ำตามิใช่น้อย มีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ นั้นเสียอีก แม่เอย เหตุไร เจ้าจึงยัง ประมาทอยู่เล่า.

เมื่อพระศาสดากำลังตรัสกถาบรรยายเรื่องสังสารวัฏ ที่มีเงื่อนต้นและเงื่อนปลายตามไปไม่รู้ แล้ว ความเศร้าโศกของนางก็ค่อยทุเลาลง.

ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า นางมีความเศร้าโศกเบาบางแล้ว เมื่อทรงแสดงว่า ดูก่อน ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้นก็ไม่อาจจะช่วย จะซ่อนเร้นหรือเป็นที่พึ่งของคนที่ กำลังไปสู่ปรโลกได้ ดังนั้น ปิยชนเหล่านั้นแม้มีอยู่ ก็ชื่อว่าไม่มี เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงชำระ ศีลของตนแล้ว ทำทางที่จะไปพระนิพพานให้สำเร็จ ดังนี้ จึงทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้ ว่า

ไม่มีบุตรที่จะช่วยได้ บิดาก็ไม่ได้ แม้พวกพ้องก็ไม่ได้ เมื่อความตายมาถึงตัวแล้ว หมู่ญาติก็ ช่วยไม่ได้เลย สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะและทมะมีอยู่ในผู้ใด พระอริยะทั้งหลายย่อมคบผู้นั้น นั่นเป็น อนามตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย (นิพพาน) ในโลก.

บัณฑิตรู้ใจความข้อนี้แล้ว สำรวมในศีล พึงรีบเร่งชำระทางไปพระนิพพานทีเดียว.

จบเทศนา นางปฏาจาราก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. พระศาสดา ทรงนำไปสำนักภิกษุณีให้บรรพชา นางได้อุปสมบทแล้ว ก็ทำกิจกรรมในวิปัสสนาเพื่อมรรค เบื้องบนขึ้นไป.

วันหนึ่งก็เอาหม้อนำน้ำมาล้างเท้ารดน้ำลง น้ำนั้นไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็ขาดหายไป รดครั้งที่ สอง น้ำก็ไปได้ไกลกว่าครั้งที่หนึ่งนั้น รดครั้งที่สามน้ำไปได้ไกลกว่าครั้งที่สองนั้น. นางยึดน้ำ นั้นนั่นแหละเป็นอารมณ์ กำหนดวัยทั้งสามคิดว่า สัตว์เหล่านี้ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำ ที่เรารดครั้งแรก ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่รดครั้งที่สอง ที่ไปไกลกว่าครั้งแรกตาย เสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่รดครั้งที่สามซึ่งไปได้ไกลกว่าครั้งที่สองนั้นเสียอีก.

พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปประหนึ่งประทับยืนตรัสอยู่ต่อหน้า นาง เมื่อทรงแสดงความข้อนี้ว่า ดูก่อนปฏาจารา ข้อนั้นก็เป็นอย่างนั้นแหละ สัตว์เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีความตายเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นคนที่เห็นความเกิดความเสื่อมของปัญจขันธ์ มีชีวิตเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ยังประเสริฐกว่าคนที่ไม่เห็นความเกิดความเสื่อมนั้น ถึงจะมีชีวิตเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี จึงตรัสพระคาถาว่า

คนที่เห็นความเกิดความเสื่อม [ของปัญจขันธ์] มีชีวิตเป็นอยู่วันเดียวยังประเสริฐกว่า คนที่ไม่ เห็นความเกิดความเสื่อมถึงจะมีชีวิตเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี. จบพระคาถา พระปฏาจาราภิกษุณีก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์กล่าวในการสนทนาธรรมครั้งนี้ตอนหนึ่งว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อพวกเราที่ยังมืดบอด ให้ได้รู้ความจริงตามที่พระองค์ทรงรู้แล้ว

นโม ตัสสะ ภวคโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างสูง

ที่เมตตาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ไม่เบื่อหน่ายความไม่รู้ของศิษย์ที่มีมากมายเหลือเกิน

... อ่านตอนต่อไป ...

(เกือบ) ถอดใจ ... ที่อินเดีย4

... อ่านย้อนหลัง ...

(เกือบ) ถอดใจ ... ที่อินเดีย2

(เกือบ) ถอดใจ ... ที่อินเดีย1


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 27 ต.ค. 2557

รอลุ้นว่าการไปอินเดียครั้งนี้จะได้อ่านข้อความอิงธรรมะจาก..kanchana.c เช่นเคยอีก

หรือไม่..คุ้มกับการรอคอยคะ..อนุโมทนาสาธุคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
napachant
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดงเป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เรือนแก้ว
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
thassanee
วันที่ 27 ต.ค. 2557

กราบเท้าอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ

ชอบอ่านมากๆ คะ น่าติดตามคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
siraya
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Boonyavee
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสันพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่และทุกๆ ท่านที่ร่วมเดินทาง ไปนมัสการ 4 สังเวชนียสถานที่อินเดียในครั้งนี้ด้วยคะ ยิ่งเมื่อได้อ่านแล้วทราบว่าการเดินทาง ค่อนข้างลำบากจากเหตุปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าสิ่งที่ได้ประสบจะเป็นเช่นไร แต่ด้วยกุศล วิริยะและศรัทธาอันเต็มเปี่ยมของทุกท่านนั้นจึงเป็นเหมือนที่พึ่งดั่งเกราะคุ้มครองให้ แคล้วคลาดปลอดภัยทั้งภัยภายนอกและภัยภายในไปได้ด้วยดีค่า ดั่งท่านปฏาจารีเถรีที่ได้ฟัง พระธรรมจากพระอรหันตสัมมามันพุทธเจ้า มีเหตุปัจจัยได้ฟังพระธรรมด้วยความเข้าใจจน กระทั่งท่านปฎาจารีเถรีบรรลุธรรม ความไม่รู้เป็นที่พึ่งไม่ได้ จึงไม่มีสิ่งใดประเสิรฐเท่ากับ ปัญญาที่นำจะพาทุกท่านให้เป็นผู้ไม่มีภัยในสังสารวัฎอีกเลย ขอกราบอนุโมทนาคุณแม่อีก ครั้ง รอติดตามการเดินทางในตอนต่อไปนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และ อนุโมทนา ในกุศลทุกประการของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
rosemary
วันที่ 27 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ประสาน
วันที่ 28 ต.ค. 2557

แม้มีอยู่ก็ช่ือว่าไม่มี

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เมตตา
วันที่ 28 ต.ค. 2557

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงค่ะ

เมื่อ สอง สาม วันก่อน เมตตาเพิ่งสนทนาธรรมกับคุณแม่ คุณแม่มีความทุกข์ใจว่า อยาก เป็นร่มโพธฺร่มไทร ให้ลูกๆ หลานๆ อยู่เป็นสุข ขอให้ลูกๆ มีอายุยืนยาว อย่าได้ตายก่อนท่าน เมตตาก็เลยเล่าเรื่อง ท่านปฏาจารีเถรี ก่อนท่านบรรพชา ท่านสูญเสียลูก ให้คุณแม่ฟัง แต่ จำได้ไม่หมด วันนี้ได้เหตุปัจจัยได้มาอ่านกระทู้พี่แดง ซึ่งเขียนได้ละเอียด เนื้อความลึกซึ้ง เย็นนี้จะไปสนทนากับคุณแม่ ให้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมต่อไปค่ะ พี่แดง (kanchana.c)

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
orawan.c
วันที่ 28 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
khampan.a
วันที่ 28 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
pulit
วันที่ 29 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
wirat.k
วันที่ 30 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
สิริพรรณ
วันที่ 2 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

เขียนได้ละเอียดและได้บรรยากาศตามจริงมากๆ ค่ะ

เข้าใจเปรียบเทียบพายุที่พวกเราพบกับเหตุการณ์ของนางปฎาจารา

อนุโมทนาในกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาค่ะ

จะติดตามอ่านต่อไปนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
yupaporn
วันที่ 5 พ.ย. 2557

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

อาจารย์หญิงที่ได้ถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆ ๆ ให้ได้อ่านและทบทวน

อีกครั้งในระหว่างการเดินทาง

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
pamali
วันที่ 16 พ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ