ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๒

 
khampan.a
วันที่  28 ก.ย. 2557
หมายเลข  25580
อ่าน  2,057

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๒

การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ยากแค่ไหน และกิเลสทั้งหมดที่ปรากฏก็ย่อมเกิดจากการสะสมกิเลสทีละเล็กทีละน้อยมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การศึกษาพระไตรปิฎกก็จะทำให้เห็นสภาพของจิตของแต่ละท่านที่สะสมมาต่างๆ กัน

แต่ละท่านอาจจะย้อนนึกถึงอดีตไม่ได้ว่า ท่านเคยสะสมกิเลสประเภทใด มามากแล้ว แต่ขณะปัจจุบันชีวิตปัจจุบัน ย่อมจะทำให้ท่านรู้สภาพจิตใจ การสะสมของท่านตามความเป็นจริงว่า ยังมีกิเลสอะไรบ้างที่ควรจะขัดเกลา แม้ในเรื่องของการแข่งดี ความยกตน ความสำคัญตน การข่มผู้อื่น ก็ควรจะ เห็นว่าเป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าถ้าสะสมมากขึ้น ก็จะทำให้ยากแก่การที่ จะเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

คำสอนใดที่จะทำให้รู้ชัดในสภาพของจิต ซึ่งกำลังปรากฏ คำสอนนั้นก็ควรที่ จะพิจารณารับฟังและศึกษาต่อไป เพื่อประโยชน์แก่การเจริญกุศล จนกระทั่งสามารถ ที่จะดับกิเลสได้

ในขณะนี้ซึ่งทุกคนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยเท่าไร ก็ต้องฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ ชาตินี้ยังไม่ถึงการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคลชาติหน้า ต้องฟังอีก ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม เกิดในประเทศที่สมควร ก็ขอจงฟัง พระธรรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

สภาพที่ทำให้ต้องเกิดอีกนั้นมีอยู่อย่างเดียว คือ กิเลสทั้งหลาย ถ้าดับกิเลส จะดับทุกข์ทั้งหมด ไม่ต้องลำบาก หรือว่าเห็นภัยต่างๆ ของชีวิต เพราะเหตุว่า ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องทุกข์ยาก ไม่ต้องวิตก ไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถ เห็นภัยของกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าทุกคนที่มีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ไม่เบื่อ ไม่มีการที่จะเบื่อรูป เบื่อเสียง เบื่อกลิ่น เบื่อรส เบื่อโผฏฐัพพะเลย

มงคลประการที่ ๑ คือ เว้น ไม่คบคนพาล เพราะเหตุว่า ใครจะประมาทอย่างไร ก็ตาม ว่าเก่ง ว่าเลิศ ว่าดี แต่อาศัยการสมาคม การคุ้นเคยทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดแม้ความเห็นก็เปลี่ยนไปได้ การกระทำต่างๆ ก็เปลี่ยนไปได้เหมือนกัน มิฉะนั้นจะไม่ทรงแสดงมงคลข้อที่ ๑เลย คือ เว้น ไม่คบคนพาล

ความเป็นผู้ประมาทในการฟังพระธรรมก็เป็นไปตามกำลังของกิเลส ซึ่งไม่มีใครจะบังคับบัญชาได้ทุกกาลสมัย แม้ในครั้งที่พระผู้มี พระภาคยังไม่ปรินิพพาน ทั้งๆ ที่บุคคลในสมัยนั้นมีโอกาสได้ไปเฝ้า ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ก็มีผู้ที่ประมาท ไม่ไปเฝ้าเพื่อที่จะ ฟังพระธรรม

ถ้ายังมีกิเลส ก็ยังต้องเกิดอีก จำไว้แค่นี้เอง และถ้าเป็นพระอรหันต์ ตายแล้ว จะไม่เกิดอีกเลย ที่เราใช้คำว่า “ปรินิพพาน” ถ้าปรินิพพาน คือ ไม่มีการเกิดอีกเลย ดับหมดทั้ง ๕ ขันธ์ ใช้ค่าว่า “ขันธปรินิพพาน” (ดับโดยรอบซึ่งขันธ์)

ปัญญาสามารถทำให้เข้าใจถูกต้องว่า อกุศลเป็นโทษแน่นอน ในขณะที่เกิดอกุศลเกิดทำร้ายใคร? ทำร้ายจิตที่กำลังเป็นอกุศลในขณะนั้น แล้วยังทำร้ายต่อไปถึงคนอื่นอีกมากมายตามกำลังของอกุศลนั้นๆ

เมตตา คือ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความปรารถนาดี ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลยว่า เราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือลักษณะของเพื่อนจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นสภาพของธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา ในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยก็ใช้คำว่า “มิตร” หรือ “เพื่อน” เพราะฉะนั้นเวลาไหนที่เราเกิด หวังดีต่อใคร ให้ทราบว่าสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นกำลังทำกิจหวังดี

ธรรมทั้งหมด ทั้งพระไตรปิฎกและอรรถกถา เพื่อให้เข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมะชัดเจนขึ้น เพื่อจะได้มีเครื่องปรุงสำหรับปัญญาที่จะละการยึดถือ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นเราหรือว่าเป็นตัวตน

รู้จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมว่า เพื่อให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่นเลยสักประการเดียว ทั้งการฟังธรรม การแสดงธรรม และกุศล ทุกประการ เพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้น เกื้อกูลเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สามารถพิจารณา ละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ ควรที่จะได้ทราบเรื่องความสลับซับซ้อน ความมากมายของกรรมในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยังติดตามให้ผลแม้ในปัจจุบันชาตินี้ได้ โดยที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่สามารถจะรู้ ได้เลยว่า แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลวิบากหรือ อกุศลวิบากนั้นเป็นผลของกรรมใดในชาติใด เพราะเหตุว่าแม้ในชาตินี้เอง แต่ละท่านต่างก็ได้ทำกรรมไม่น้อยเลย ทั้งที่เป็นกุศลกรรมและอกุศลกรรม เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เมื่อรวมในชาติก่อนๆ ย้อนไปอีก ก็จะเห็นได้ว่า กรรมยังมีอีกมากมายเหลือเกินที่จะทำให้สังสารวัฏฏ์ยาวนานต่อไป

ดี คือ กุศลเกิดขึ้น ถ้าอกุศลเกิดแล้ว จะบอกว่าดีได้อย่างไร ทุกข์ใจหนาแน่นมาก ถ้าไม่มีกุศลเกิด เข้าใจ คือ เข้าใจไม่เข้าใจ คือ ไม่เข้าใจ แต่ไม่ควรคิด (ธรรม) เอง

ฟังไว้ เข้าใจไว้ เพื่อจะได้ไม่เข้าใจผิด ขณะที่ฟังพระธรรม คิดถึงเรื่องอื่น ก็ไม่เข้าใจ และถ้าคิดเอง ก็ผิดอีก

สิ่งที่มีค่าที่สุด คือ คำของพระพุทธเจ้า

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๖๑

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตปันธรรมด้วยครับ

@ กำลังเห็นขณะนี้โลกแตกหรือไม่แตก ขณะเห็นเกิดขึ้น มีเพียงสิ่งที่ปรากฎ ทางตาเท่านั้น ไม่มีความคิดอะไรเลยขณะเห็น กำลังเห็นขณะนี้มีโลก มีจักรวาล ไหม กำลังเห็นเห็นสิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้นแล้วดับไป เรื่องราวที่คิดว่าโลกแตก เป็นเพียงเรื่องราวที่คิดเท่านั้นซึ่งไม่มีอยู่จริง ไม่รู้สิ่งที่มีอยู่จริงๆ ที่กำลังปรากฎ ขณะนี้ แต่ไปคิดเรื่องโลกแตก ก็ไม่มีวันรู้ความจริงในสิ่งที่กำลังปรากฎ

@ คบ คือ ไปไหนมาไหนด้วย สนิทสนมคุ้นเคย นั่นคือคบแต่เมตตา ขณะนั้นไม่มี ความหวังร้าย ไม่ว่าเขาจะเป็นใครไม่ทำร้ายคนอื่น แม้ด้วยกายวาจาและใจ นั่นคือ ขณะที่เมตตาควรจะทั่วๆ ไปกับทุกคน หรือว่าควรจะจำกัด

@ อย่างเดียวที่จะคบ คือ เพื่ออนุเคราะห์ แต่ถ้าอนุเคราะห์ไม่ได้ก็ไม่ควรคบ ไม่มี ประโยชน์อะไร ได้อะไรจากคนพาล

@ ทันทีที่ลืมตา ก็เห็นนิมิตของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไปสืบต่ออย่างรวดเร็ว มาก ทันทีที่เห็น ก็เห็นเป็นสัตว์ บุคคล และสิ่งของต่างๆ ทั้งๆ ที่ฟังพระธรรมก็รู้ว่า สภาพธรรมมีอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมถึงไม่รู้สิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฎสักที เพราะ เหตุว่าความเข้าใจยังไม่พอ ปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ อบรมขึ้น

@ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนมีเหตุปัจจัยให้เกิด การได้รับอารมณ์ที่ดี และไม่ดี สุขกาย และทุกข์กาย ย่อมมาจากเหตุ ซึ่งก็คือ กุศลเหตุ และอกุศลเหตุที่ได้กระทำ ไว้แล้วในอดีตทั้งสิ้น เมื่อมีความเข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรมว่า ทุกอย่างที่เกิด ขึ้นในชิวิตของเราล้วนเกิดจากเหตุปัจจัย พระพุทธศาสนาสอนให้รู้เรื่องเหตุ และ ผล เมื่อมีความเข้าใจปัจจัยต่างๆ มากขึ้น เราก็สามารถเผชิญกับความทุกข์ยาก

@ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเข้าใจพระธรรมจึงเป็นสาระสำคัญที่ได้เกิดมาในชาตินี้ ปัญญาที่รู้ความจริงในสิ่งที่กำลังปรากฎทุกๆ ขณะ เห็น ได้ยิน คิดนึก ทุกข์กาย โกรธ หวั่นไหว ซึ่งล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เรา เป็นเพียงธรรมะเท่านั้น ฟังธรรมแล้ว ก็ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เพียรที่จะอบรมเจริญปัญญา กำลังใจคือปัญญาที่รู้ความ จริงในลักษณะสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง แม้ขณะหวั่นไหวก็ไม่ใช่เราเป็นเพียง สภาพธรรมเท่านั้น

@ ความกังวลใจทุกคนมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน การอบรมเจริญสติปัฎฐานสามารถ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้น ความกังวลใจจึงไม่เป็นเครื่องขัดขวางต่อการอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะสภาพธรรม ตามความเป็นจริงได้

@ พระธรรมเป็นของยาก ละเอียดและลึกซึ้ง จึงต้องอดทนฟังจนกว่าจะเข้าใจ ปัญญา ต้องคู่กับขันติ อดทนฟังและพิจารณาพระธรรมจนเป็นความเข้าใจของตนจริงๆ อดทน เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่อดทนเพื่อได้อะไร เพราะเพื่อจะได้อะไรนั้นเป็นความต้องการ เป็น โลภะ เป็นอกุศลจิต ซึ่งอกุศลจิตกั้นไม่ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ที่กำลัง ปรากฎขณะนี้ได้เลย และค่อยๆ อบรมเจริญกุศลทุกประการซึ่งเป็นเหตุที่จะ นำไปสู่ผลที่ดี

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 28 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 28 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 28 ก.ย. 2557

สาธุ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน นะคะ

ด้วยความเคารพและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

จากใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
thilda
วันที่ 28 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pulit
วันที่ 29 ก.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตขอทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 29 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 29 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 29 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง ค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
นายเรืองศิลป์
วันที่ 30 ก.ย. 2557

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Jans
วันที่ 4 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
สิริพรรณ
วันที่ 24 พ.ย. 2557

ขอกราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขต์

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย

และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ เป็นอย่างยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kullawat
วันที่ 8 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
มังกรทอง
วันที่ 29 พ.ย. 2564

รู้จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมว่า เพื่อให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่นเลยสักประการเดียว ทั้งการฟังธรรม การแสดงธรรม และกุศล ทุกประการ เพื่อให้ปัญญาเจริญขึ้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 29 พ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ