ขอความกรุณาตอบปัญหาด้วยค่ะ

 
tanrat
วันที่  12 ส.ค. 2557
หมายเลข  25281
อ่าน  993

คำว่าวิเวกทัสสสีผัสเสสุ ขอความกรุณาให้ความกระจ่างของคำนี้ด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ส.ค. 2557

จากคำบรรยายท่่นอาจารย์สุจินต์ครับ

@ วิเวกทัสสีผัสเสสุ คือ เห็นความสงัดในผัสสะทั้งหลาย คือ เห็นความเป็นเพียงสภาพธรรม ขณะนี้กระทบแข็ง หรือ มีการกระทบแข็ง เริ่มเข้าใจความจริง ในขณะนั้นหรือไม่ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา และหนทางนี้ ค่ะ คือ หนทางสายกลาง เพราะเริ่มเข้าใจขั้นการฟัง ว่าเป็นการกระทบธาตุดิน คือ อ่อน แข็งเท่านั้น ไม่มีใคร มีแต่ธรรม นี่คือ ความหมายจริงๆ ของทางสายกลาง ทางที่จะทำให้ละกิเลสได้จริงๆ เพราะเข้าใจว่า แม้เพียงกระทบที่สำคัญว่ากระทบกายใคร ก็เป็นแต่เพียงธาตุ ธรรมไม่ใช่เรา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 12 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กว่าจะเห็นซึ่งความสงัดจากการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความจริงก็ต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย

ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา กล่าวคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง ซึ่งจะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังธรรม สะสมความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง ย่อมเป็นประโยชน์ตั้งแต่ขั้นของการฟังว่า ธรรม มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน

ไม่มีเรา แต่มีธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะยังไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จึงยังไม่สามารถขัดเกลาละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้เลย แต่เมื่ออาศัยการฟัง การศึกษาการพิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า แต่ละขณะๆ นั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมเหล่านั้นเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีทางเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่า เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดี พอใจ หงุดหงิดโกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด เกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นเรา หรือ เป็นของของเราได้อย่างไร และที่น่าพิจารณาคือธรรมไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้น ไม่พ้นไปจากธรรมเลย ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา จิต เจตสิก รูปนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้น เพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาและเป็นอนัตตาคือไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ปัญญาเท่านั้น ที่จะทำกิจหน้าที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด โดยเริ่มต้นสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ตั้งแต่ในขณะนี้ เมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 12 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 12 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 12 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 12 ส.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tanrat
วันที่ 13 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ