ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๖

 
khampan.a
วันที่  8 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24958
อ่าน  2,124

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๖

ชีวิตมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่มีใครสามารถบันดาลได้ทั้งสิ้น ทุกอย่างต้องเป็นไป

ตามเหตุตามปัจจัย แต่ให้ทราบว่า นี่คือชีวิต ความรู้คือความรู้ ความไม่รู้ก็คือ

ความไม่รู้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

ธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วก็เห็น เกิดขึ้นแล้วก็คิด เกิดขึ้นแล้วก็รู้ เกิดขึ้นแล้วก็จำ เป็นธรรม

เป็นธรรมดาของธาตุนั้นๆ ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลย หรือแม้แต่รูปธาตุ

ก็เช่นเดียวกัน แข็งเกิดเป็นแข็ง หวานเกิดแล้วเป็นหวาน เปลี่ยนแปลงไม่ได้

การฟังธรรม ต้องเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร แล้วต้องเข้าใจว่า ศึกษาให้เข้าใจ

ทุกอย่างที่เป็นธรรมที่กำลังปรากฏ เริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม แม้แต่ธรรมที่

ปรากฏทางตา คือสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทะ (ตา) ค่อยๆ สะสมความ

เห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย จนคลายได้เมื่อมีความมั่นคงว่าเป็นเพียงสิ่งที่เพียง

ปรากฏ

แต่ละขณะที่กำลังไม่เข้าใจ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทั้งทางตา

หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นก็คือปุถุชนแน่นอน

หลังเห็น หลังได้ยิน ถ้ากุศลไม่เกิด ก็จะไม่รู้และติดข้องพอใจ ไม่พอใจ

ดูเหมือนนอกจากยังไม่ได้สะสมปัญญาแล้ว ก็ยังจะสะสมกิเลสมากขึ้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเตือนพุทธบริษัททุกครั้งที่ไปเฝ้า ทรงแสดงเรื่องตา

หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าจะเป็นในพระสูตรหรือว่าในพระอภิธรรม เพราะอะไร?

เพราะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกวัน แต่ว่าบางคนจะไม่ทราบว่านี่คือธรรม, กำลังเห็น

กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังคิดนึก ทุกขณะในชีวิตประจำวัน

เป็นธรรม

ผู้ประเสริฐจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ละคลายอกุศล แล้วก็มีความเจริญทางด้าน

จิตใจ จนถึงระดับที่เป็นพระอริยบุคคล คือผู้เจริญในธรรมจริงๆ

เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ถ้าผู้ศึกษาพระธรรมไม่รีบร้อน แล้วก็รู้ว่า กิเลส

มีเยอะ ซึ่งจะต้องอาศัยศรัทธาที่จะต้องฟังธรรมต่อไป แล้วก็เป็นผู้ที่จะ

ขัดเกลา คือเริ่มมีความเห็นถูก ตั้งตนไว้ถูกในจุดประสงค์ของการฟังว่า

เพื่อขัดเกลากิเลส ก็จะมีความใกล้ชิดต่อพระศาสนา เป็นอุบาสก อุบาสิกา

ที่แท้จริง

ชีวิตประจำวัน ก็คือสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ไม่ใช่ตัวตน

ชีวิตประจำวันของทุกคน ก็มีความเป็นอยู่ที่เป็นทั้งกุศลบ้าง และ อกุศลบ้าง

ศึกษาธรรม ต้องอาศัยความอดทนด้วย เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะต้องการผลเร็ว

เมื่อศึกษาแล้วก็คิดว่า จะได้ผลทันที หรือเมื่อมีความเข้าใจเรื่องจิตจำนวนเท่านั้น

เจตสิกเท่านั้น รูปเท่านั้น เป็นผู้ที่มีความรู้มาก ก็คิดว่าเป็นการเพียงพอ แต่ความ

จริงแล้วทุกคนก็ทราบว่า ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ว่าทุกขณะ เป็นธรรม

ทั้งหมด

สิ่งใดๆ ก็ตามที่จะเกิดกับท่านในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ได้ลาภ เสื่อมลาภ หรือแม้แต่จะพิจารณาแต่ละชีวิตที่เกิดมา มีรูปร่างหน้าตา

เป็นมนุษย์ แต่ก็ยังต่างกันมากตามกรรมที่ได้กระทำ ถ้าเป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน

ก็จะเห็นได้ถึงความวิจิตรของกรรมที่ทำให้สัตว์น้ำ สัตว์บกก็ต่างกันไป นั่นก็เป็น

ผลของอดีตกรรมที่ได้ทำแล้ว

จริงๆ แล้ว เราจะใช้ภาษาอะไรก็ตาม แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง

ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมนั้นได้ เพราะฉะนั้น ลักษณะนั้นเป็นธรรมคือ

เป็นสิ่งที่มีจริง เราคนไทยจะใช้ภาษาอะไร ที่จะทำให้สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่มี

จริงๆ ในขณะนี้ได้ ใช้คำว่าสิ่งที่มีจริง เข้าใจได้ ใช้คำว่า กำลังปรากฏ ก็เข้าใจได้

กิเลสทั้งหลายสะสมมาเนิ่นนานเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ เป็นปัจจัยให้หลงลืมสติ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ใคร่ในการที่จะอบรมเจริญปัญญา ที่จะดับกิเลสจริงๆ เป็นผู้ที่

จะต้องมีการฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เป็นสังขารขันธ์ที่จะเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้

กุศลจิตเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ยึดถือสติเป็นเรา

ที่จะทำสติ หรือว่าเป็นเราจะเจริญสติปัฏฐาน แต่รู้ว่าสติก็เป็นอนัตตา เมื่อมีเหตุ

ปัจจัยก็เกิดขึ้น

ถ้าหากว่าจิตใจสบาย เป็นกุศล มีเมตตาต่อผู้อื่น ก็สามารถฟังและเข้าใจถูกใน

สิ่งที่กำลังฟังได้

ถ้าเดินทางที่ดี เป็นกุศล ก็เป็นเหตุให้ไปสู่สุคติภูมิ ยิ่งถ้าได้เดินตามหนทาง

แห่งการอบรมเจริญปัญญา ก็จะเป็นเหตุให้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ

ความพ้นทุกข์ พ้นจากภัยทุกอย่าง

แต่ละคำที่เป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเหมือน

ยารักษาจิตให้คลายจากความติดข้อง

ถ้าเป็นสาวก ก็ต้องได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คิดธรรมเอาเอง

หรือแต่งเติมต่อ

ปลดทุกข์คือความไม่รู้ เมื่อได้เข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง
ดี ตอนที่เข้าใจ ต่อไปจะดีขึ้นไหม? ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย

ความสะอาดจริงๆ ก็ต้องเป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่สามารถ

ขัดเกลาละคลายความติดข้องและกิเลสประการอื่นๆ ได้

กว่าจะละความเห็นผิดได้ ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง

สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ในชีวิตประจำวัน ใครนำมาให้? ก็ต้องเป็น

กุศลกรรมที่เคยทำแล้วนำมาให้เมื่อถึงคราวที่กุศลกรรมจะให้ผล

สิ่งใดที่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส สิ่งนั้น ควร

ไม่ว่าจะฟังพระธรรม จะศึกษาพระธรรมในเรื่องอะไร ก็เพื่อที่จะรู้ความจริงในธรรม

มาสนทนาในเรื่องที่มีจริง เพื่อจะได้รู้ว่า ความจริงในขณะนี้ คือ อะไร

แต่ละคนสามารถที่จะดำรงรักษาพระธรรมวินัย ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง

ตามกำลัง ตามการสะสมของแต่ละคน

ชีวิต นี้ สั้นมาก ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก วันนี้ได้ฟังพระธรรม

พรุ่งนี้ตายไป ก็ยังเป็นประโยชน์.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๕ [สัปดาห์ที่ ๑๔๕]

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ เป็นผู้ไม่ประมาทในการฟังธรรม ไม่เพียงแต่พบพยัญชนะบางส่วนแล้วคิดเอง เข้าใจ

เอง เพราะพระธรรมเป็นเรื่องละเอียด เมื่อฟังแล้วควรเป็นผู้มีเหตุผล พิจารณาไตร่ตรองถึง

อรรถ พิจารณาถึงความจริงของสภาพธรรม เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดยิ่งขึ้น

@ เมื่อวานนี้ เสียดายที่ไม่ได้ทำดี พรุ่งนี้จะทำ แต่วันนี้แย่มากทั้งพูด ทั้งคิด ไม่รู้ตัวเลย

เป็นผู้ที่ประมาท เพราะแม้ขณะนี้ก็ผ่านไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่มา ก็กำลังจะเป็นขณะนี้

เพราะฉะนั้น ขณะนี้สำคัญที่สุด มิฉะนั้นก็จะเลี่ยงไปเรื่อยๆ เมื่อวานกับพรุ่งนี้ แล้ว

ลืมวันนี้ เพราะฉะนั้น ถ้ากุศลทางกาย วาจา ใจ จะเจริญขึ้นได้ ก็คือ วันนี้ ปัจจุบัน

ขณะนี้

@ ที่จะละกิเลสได้เป็นเรื่องแสนยาก แม้ฟังมาก ต้องเป็นผู้ที่ตรงเห็นถูก ในความจริง

ขณะที่ กำลังมีปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่คิดเรื่องอื่น พูดถึงเห็น มีเห็น เห็นกำลังปรากฏ

นั่นคือ ตรง ปัญญาเข้าใจ ก็รู้จักสิ่งที่มีจริง ที่กำลังฟัง และปรากฏซึ่งทำกิจ เช่น

เห็น เกิดแล้วก็เห็น ห้ามไม่ให้ทำกิจเห็นไม่ได้ บังคับเปลี่ยนแปลงธรรมใดๆ ไม่ได้

แต่สามารถมีความเห็นถูกตามความเป็นจริงอย่างนี้

@ การศึกษาธรรม ที่เข้าใจจริงๆ จะทำให้เห็นพระมหากรุณาคุณ พระปัญญาคุณ

พระบริสุทธิคุณ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อความหมดจดจากกิเลส ซึ่งมีหนาแน่น

มากทุกคน หากไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถนำกิเลสออกได้

@ ความไม่รู้ทราบอดีตไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาที่จะทราบได้ ขณะที่คิดเดี๋ยวนี้เองก็เป็น

อดีตไปแล้ว และ สิ่งที่ยังไม่เกิดที่เกิดขึ้นก็เป็นปัจจุบัน จะรู้จักธรรมที่เป็นอดีตได้

ก็เมื่อขณะที่กำลังรู้สภาพธรรม ในปัจจุบันที่หมดไป เพราะฉะนั้นจะรู้จักอดีต ก็เมื่อรู้

ความจริงที่เป็นปัจจุบัน และถ้ารู้จักอดีตแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเรื่องอดีตชาติเพราะว่า

ก็เป็นอย่างนี้ เป็นสิ่งที่มีแล้วไม่มี แล้วก็มีแล้วไม่มี สืบต่อไป อย่างนี้มานานแสนนาน

ถ้าไม่เข้าใจขณะนี้ ก็ไม่เข้าใจอดีตไม่ว่าสมัยใด เพราะล่วงเลยการรู้อดีตที่เป็น อดีต

จริงๆ ในขณะนี้

@ น้อมไปสู่ธรรม หมายถึง จิตและเจตสิก ที่กำลังรู้สภาพธรรม เข้าใจทีละเล็ก

ทีละน้อย เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ก็น้อมไปสู่การรู้ยิ่งขึ้น ออกจากความไม่รู้ทีละเล็ก

ทีละน้อย เข้าไปสู่ความเข้าใจมากขึ้น

@ มีประโยชน์อะไร จากหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏแล้วมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ และ

เมื่อปรากฏก็เดือดร้อน ในสิ่งที่น้อยที่สุด ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มี ที่

ปรากฏ เกิดขึ้นแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ที่ยังเดือดร้อนอยู่ในสิ่งที่มีแล้วหามีไม่

ก็เพราะยังมีอวิชชา ที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

@ ถ้าไม่มีอวิชชาก็ไม่ต้องมีการท่องเที่ยวไปมาเลย แต่ขณะนี้มีสภาวธรรมอยู่แล้ว ทั้ง

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็เกิดมาพร้อมความไม่รู้ มีชีวิตอยู่

ทั้งวันด้วยความไม่รู้ และติดข้อง เป็นอย่างนี้เรื่อยไปทั้งวัน และต่อๆ ไปอีก ก็มีความ

ไม่รู้กั้นไว้ ให้ไม่ให้เป็นอิสระจาก สังสารวัฏฏ์ ซึ่งไม่มีอะไรที่จะดับอนันตรปัจจัยของ

จิต เจตสิกนั้นได้ นอกจากปัญญาที่ถึงความเป็น อรหัตมรรค ดับกิเลสทั้งหมดไม่

เหลือ ซึ่งเมื่อถึงขณะสุดท้ายของชาตินั้น ก็ปรินิพพานไม่มีนามธรรม รูปธรรมเกิด

อีกเลย

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 8 มิ.ย. 2557

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
napachant
วันที่ 8 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

...วันหนึ่ง วันหนึ่ง ไม่คิดที่จะละอะไรเลย โน่นก็จะติด นี่ก็จะเอา....

...ไม่ควรละ โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม...

...ความเห็นผิดทั้งหมด นำมาซึ่งการประพฤติผิด...

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย คุณเผดิม ยี่สมบุญ

สำหรับข้อความเตือนใจ ที่ควรพิจารณาเนืองๆ เพื่อความแนบแน่นเก็บไว้ในหทัย ครับ

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 10 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม

และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nong
วันที่ 13 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ch.
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ