สัตว์ในอบายภูมิ

 
natural
วันที่  22 เม.ย. 2557
หมายเลข  24754
อ่าน  2,506

พระไตรปิฎกกล่าวถึงสัตว์นรกว่าอย่างไรบ้าง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นรกตอนที่ 1

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ 198

[๕๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่า กัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบครอบไว้ด้วย แผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้นล้วนแล้ว ด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อย โยชน์รอบด้านประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านได้ พลุ่งจากฝาด้านได้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายครบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด. [๕๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด. สัตว์นั้น จะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูป เดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้น ใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด. [๕๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกนั้นเปิด ฯลฯ ประตูด้านเหนือเปิด ฯลฯ ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบแต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด. [๕๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว แล้วเฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก สัตว์นั้น ย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในนรกคูถนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด.

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

นรก ตอนที่ 2 [เทวทูตสูตร]

นรก ตอนที่ 3 [เนมิราชชาดก]

นรก ตอนที่ 4 [เนมิราชชาดก]

นรก ตอนที่ 5 [เนมิราชชาดก]

ความทรมานของสัตว์ในนรก [เทวทูตสูตร]

เทวทูตสูตร .. ความโหดร้ายของนายนิรยบาล

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 22 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่ควรจะได้พิจารณา คือ เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อตายแล้วก็ยังต้องเกิด ถึงแม้จะบอกว่าไม่อยากเกิดก็ตาม แต่ก็ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผล สำหรับผู้ทีได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ต้องเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นการยากมากกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่าผู้ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น (รวมถึงสุคติภูมิอื่นๆ คือ สวรรค์ ด้วย) มีเป็นส่วนน้อย แต่ที่เกิดได้โดยง่าย คือ เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ

กุศลกรรมทังหลาย มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น เป็นเหตุให้ไปเกิดในบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เท่านั้น ไม่ใช่สุคติภูมิ เพราะการจะไปเกิดในสุคติภูมิซึ่งเป็นภพภูมิที่ดี กล่าวคือมนุษย์ภูมิและสวรรค์ ต้องเป็นผลของกุศลกรรมฝ่ายเดียว

เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนควรพิจารณาว่า ไม่ควรจะเป็นผู้วางใจว่าจะไม่มีวันจะไปสู่บายภูมิ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะพ้นจากบายภูมิได้นั้น คือผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ยังมีโอกาสที่จะไปสู่บายภูมิได้ ถ้าไปเกิดในบายภูมิแล้ว ย่อมมีแต่ความทุกข์ทรมาน ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ ไม่มีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญาด้วย

ในขณะนี้ทุกคนเกิดเป็นมนุษย์ ในมนุษย์ภูมิ มีชีวิตที่ดำเนินไปแตกต่างกันตามฐานะของตนๆ มีความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามที่แต่ละบุคคลได้ประสบอยู่ แต่ถ้าเป็นบายภูมิแล้ว จะไม่เป็นอย่างนี้เลย จะไม่มีความสุขเหมือนอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จึงไม่ควรที่จะประมาท การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ก็ควรที่จะเป็นไปในทางที่ดีงามเท่านั้นไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าความเข้าใจถูกเห็นถูกนี้เอง จะเกื้อกูลให้ความประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจในชีวิตประจำวันดำเนินไปในทางที่ดีงามยิ่งขึ้น ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natural
วันที่ 23 เม.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natural
วันที่ 23 เม.ย. 2557

เรียนถามเพิ่มเติมว่าสภาพธรรมเมื่อเกิดอกุศลจิตในขณะที่เป็นมนุษย์ต่างจากสัตว์ในอบายภูมิหรือไม่อย่างไรคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 23 เม.ย. 2557

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

สัตว์เดรัจฉาน ก็เป็น สิ่งมีชีวิตอีกภูมิหนึ่ง ซึ่งเป็นอบายภูมิ ที่เป็นภูที่ต่ำกว่ามนุษย์ เมื่อเป็นสิงมีชีวิต ก็จะต้องมี จิต เจตสิก และ รูป ในภูมิที่มีขันธ์ 5 เพราะฉะนั้น สัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องมี จิต เจตสิก รูป สัตว์เดรัจฉานก็มีการเห็น ที่เป็นจิตเห็น มีการได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการทำหน้าที่ของจิต เจตสิก และสัตว์เดรัจฉานก็มีการคิดนึก โดยที่ไม่ได้เห็น ไมได้ยิน ก็คิดนึก ดังเช่น มนุษย์ได้เช่นกัน เพราะ ก็มีจิตเช่นกัน

จิตของสัตว์เดรัจฉาน เกิดด้วย อเหตุอกุศลวิบาก ซึ่ง มีอกุศลกรรมที่เคยทำในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิด จึงเป็น จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุที่ดี คือ ไม่ประกอบด้วยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะฉะนั้น สัตว์เดรัจฉาน จึงไม่สามารถอบรมปัญญาที่ถึงการบรรลุธรรมได้ แต่ สัตว์เดรัจฉาน ก็มี จิต เจตสิก ครับ

สัตว์เดรัจฉานก็มีจิต เจตสิก รูป เช่นเดียวกับมนุษย์แต่เกิดมาด้วยผลของอกุศลกรรม ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่ถามว่ากุศลเกิดได้ไหมกับสัตว์เดรัจฉาน เกิดได้ครับ เช่น จิตคิดจะให้ การรักษาศีลก็ได้ หากสัตว์นั้นสะสมความเห็นถูกมาในอดีต เช่น อดีตชาติของพระโพธิสตว์ที่เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่โดยทั่วไปแล้วสัตว์เดรัจฉาน มากไปด้วยความไม่รู้ ความกลัวต่อภัย ไม่มีปัญญาที่จะสามารถอบรมการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นปัญญาระดับวิปัสสนาได้ เพราะเป็นทุคติภูมิและเกิดด้วยผลของอกุศลกรรม แต่กุศลอื่นๆ ก็เกิดได้ จึงเป็นการปฏิบัติธรรมในกุศลขั้นต้นๆ แต่ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติธรรมในกุศลที่เป็นไปในการอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลส คือวิปัสสนา ไม่สามารถอบรมได้ครับ ต่างจากมนุษย์ที่เกิดในสุคติภูมิและเกิดด้วยผลของกุศลกรรม เป็นภพภูมิที่เอื้ออำนวยต่อการอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลสได้ครับ

ซึ่งอกุศลจิตเมื่อเกิดขึ้น ไม่ว่าภพภูมิใด ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เพราะฉะนั้น อกุศลจิตของมนุษย์กับที่อกุศลจิตของสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นประเภทเดียวกันแล้วไม่แตกต่างกัน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natural
วันที่ 23 เม.ย. 2557

ลิงค์อ่านเพิ่มเติมในความคิดเห็นที่ 1 คลิกเข้าไปอ่านไม่ได้ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 23 เม.ย. 2557

เรียน ความคิดเห็นที่ ๖ ครับ (ลิ้งค์ที่กล่าวถึง เปิดอ่านได้ตามปกติ ครับ)

และขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในความคิดเห็นที่ ๔ ครับ

ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อว่าโดยสภาพธรรม ก็ย่อมไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แม้จะกล่าวถึง อกุศลจิต ก็เป็นธรรม แต่เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดกับสัตว์ในอบายภูมิ หรือเกิดกับมนุษย์ ความเป็นจริงของอกุศลจิต ย่อมไม่เปลี่ยน ก็คือ จิตที่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิกประเภทต่างๆ นั่นเอง เป็นธรรมเท่านั้นจริงๆ แต่ก็น่าพิจารณาเพิ่มเติมว่า ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ประมาทมัวเมา ไม่เห็นคุณของกุศล ไม่เห็นโทษของอกุศลในชีวิตประจำวัน สะสมอกุศลมากขึ้นๆ ทุกวัน อาจจะเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิได้ อบายภูมินั้น เพราะเป็นภูมิที่ไปได้ง่ายมาก เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิตประจำวัน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 23 เม.ย. 2557

สัตว์ก็มีอกุศลจิตเหมือนคน แต่ สัตว์ ไม่รู้ว่าอกุศลจิตเป็นธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
natural
วันที่ 24 เม.ย. 2557

คิดไปว่าตัวเองจะต้องไป ลืมคิดว่าเป็นสภาพธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย

แต่ก็ยังต้องเป็นไปตามอกุศล เพราะไม่เข้าใจจริงถึงโทษของอกุศลและคุณของกุศล

ขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
papon
วันที่ 1 พ.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ค่อยๆศึกษา
วันที่ 27 ส.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ