ขันธ์ 5, ขันธ์ 4, ขันธ์ 1 เหมือนและต่างกันอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างและศาสนาอื่นกล่าวถึงขันธ์ไหมครับ

 
natre
วันที่  13 เม.ย. 2557
หมายเลข  24716
อ่าน  39,483

หญ้าเป็น (ที่กำลังเจริญเติบโต) ...หญ้าตาย (หญ้าแห้ง) ดิน กระดาษ เป็นขันธ์ไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจถึงความหมายของขันธ์ ก่อนว่า หมายถึง อะไร

ขันธ์ หมายถึง สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ขันธ์ ทั้งหมด มี ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ (รูปทั้งหมด) เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) สัญญาขันธ์ (ความจำ) สังขารขันธ์ (ได้แก่เจตสิก ๕๐ มี ผัสสะ เจตนา เป็นต้น) และวิญญาณขันธ์ ได้แก่ จิตทั้งหมด ดังนั้น ขันธ์ มี ๕ ไม่ขาด และ ไม่เกิน

แต่ที่กล่าวว่า ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๔ และ ขันธ์ ๑ นั้น ก็ตามควรแก่ภพภูมินั้นๆ เช่น ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นรูปพรหมบุคคล (เว้นอสัญญสัตตาพรหม) ก็มีขันธ์ ๕ ครบ เรียกว่า มีขันธ์ ๕ ส่วนผู้ที่เป็นเป็นอรูปพรหมบุคคล มีแต่นามธรรม ไม่มีรูปธรรมเกิดขึ้นเลย ก็มีเพียงขันธ์ ๔ เฉพาะที่เป็นนามธรรม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ สำหรับผู้ที่เกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม มีเฉพาะรูปธรรม ก็มีเพียงขันธ์ ๑ ที่เป็นรูปขันธ์ เท่านั้น ดังนั้น ขันธ์ ไม่พ้นไปจาก ๕ ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิที่มีขันธ์ครบ ๕ ขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิที่มีขันธ์เดียว คือ อสัญญสัตตาพรหมที่มีแต่รูปธรรม หรือในภพภูมิที่มีขันธ์ ๔ คือ มีเฉพาะนามธรรม (เวทนา สัญญา สังขารขันธ์และวิญญาณขันธ์) ก็คือ ขันธ์ นั่นเอง ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะไม่พ้นไปจากขันธ์เลย (ขันธ์ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวตน) ที่จะเป็นประโยชน์แล้ว ความเข้าใจมาก่อน ชื่อมาทีหลัง เพราะจริงๆ แล้ว ขันธ์ มีจริงๆ และมีจริงในขีวิตประจำวันในขณะนี้ด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็จะไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย ไม่ว่าจะยกสภาพธรรมใดขึ้นมากล่าว ก็ไม่พ้นจากขันธ์เลย ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ล้วนมีจริงๆ เกิดแล้วดับไป ทั้งหมด เป็นขันธ์

แม้แต่ที่กล่าวถึง หญ้า ดิน กระดาษ ก็เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และ รูปอีก ๔ รูป คือ สี กลิ่น รส โอชา จึงกล่าวได้ว่า เป็นหญ้า เป็นดิน เป็นกระดาษ เป็นรูปที่เกิดเพราะอุตุความเย็นความร้อนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ดังนั้น รูป เป็นรูปขันธ์

ศาสนาอื่น ไม่ได้สอนให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ คำสอนที่ทำให้เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง มีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง แม้ในคำว่า ขันธ์ เพียงคำเดียว ซึ่งไม่ใช่เพียงคำ แต่กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ครอบคลุมสิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมด เมื่อเป็นขันธ์ ซึ่งก็คือเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกขณะไม่พ้นไปจากขันธ์เลย (ขันธ์ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยังยืน เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวตน) ที่จะเป็นประโยชน์แล้ว ความเข้าใจมาก่อน ชื่อมาทีหลัง เพราะจริงๆ แล้ว ขันธ์ มีจริงๆ และมีจริงในขีวิตประจำวันในขณะนี้ด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็จะไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย ไม่ว่าจะยกสภาพธรรมใดขึ้นมากล่าว ก็ไม่พ้นจากขันธ์เลย ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น ล้วนมีจริง ๆ เกิดแล้วดับไป ทั้งหมด เป็นขันธ์ ครับ

สิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนแต่เป็นจิต เจตสิกและรูป ที่ประชุมรวมกัน จึงบัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคล ตัวตน แต่เพราะความไม่รู้และความเห็นผิดที่สะสมมา จึงสำคัญว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นครับ

พระพุทธเจ้าทรงอุปมา ว่า สิ่งต่างๆ ที่คิดว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคล แต่ มีแต่ธรรม ด้วยอุปมาที่ว่า เหมือนกับ ใครคนใด คนหนึ่ง นำ กิ่งไม้ ใบไม้ หญ้า ในพระเชตวันไปเผา เธอจะสำคัญว่า คนเหล่านั้น เอาตัวเราไปเผาหรือเปล่า คำตอบ คือ ไม่ใช่ เพราะ หญ้ากิ่งไม้ ใบไม้ ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นเพียง รูปธรรม หรือ สิ่งที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยของเขา ไม่ใช่ตัวเรา ฉันใด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ ตา หูจมูก ลิ้น กาย และใจ ก็ไม่ใช่เราเช่นกัน แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ จึงเกิดขึ้นประชุมรวมกัน ที่เป็น จิต เจตสิกและรูปเท่านั้น จึงไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลครับ ไม่ต่างอะไร กับใบไม้ หญ้า เพราะสิ่งเหล่านั้นก็เป็นสภาพธรรมเช่นกัน อาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่เราก็ไปสมมติ เรียกว่า นี่ คือ หญ้า นี่คือ ใบไม้ แต่ความจริง แม้ไม่ใส่ชื่อให้เขา ตัวจริงของเขามีอยู่ คือ การประชุมกันของธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม รูปธรรมอื่นๆ เท่านั้นเช่นเดียวกับ ที่เราไปสมมติว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นเรา ความจริงไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป ขันธ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเท่านั้นครับที่ประชุมรวมกันแต่เพราะความยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ยึดถือด้วยอำนาจกิเลส มีโลภะ และความเห็นผิด เป็นต้น ซึ่งสภาพธรรมเหล่านี้ ไม่เที่ยง เมื่อยึดถือ สิ่งที่ยึดถือ ไม่เป็นดั่งใจเรา ความสุข ก็ไม่เที่ยง ทำให้ก็ต้องทุกข์ เพราะสภาพธรรมไม่เที่ยง แปรปรวนไป สิ่งที่ได้จากการยึดถือ ก็คือ ความทุกข์ประการต่างๆ รวมทั้ง อกุศลที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะฉะนั้น จึงนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ สิ่งไม่เป็นประโยชน์เกิดขึ้น คือ ความทุกข์อกุศลประการต่างๆ เพราะความยึดถือ ด้วยอำนาจกิเลสนั่นเองครับ

ข้อความแสดงถึงหญ้า กิ่งไม้ เป็นต้น เป็นรูปธรรม ครับ

[ ๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนชนพึงนำไป พึงเผาหรือกระทำตามปัจจัย ซึ่งหญ้า ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ในเชตวันวิหารนี้ ก็เธอทั้งหลายพึงคิดอย่างนี้หรือว่า ชนย่อมนำไป ย่อมเผา หรือย่อมกระทำตามปัจจัยซึ่งเราทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร?

ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ตนหรือสิ่งที่นับเนื่องในตนของข้าพระองค์ทั้งหลาย.

พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข

เมื่อบุคคลได้เกิดในภพภูมิที่ประเสริฐ คือ ภพภูมิมนุษย์แล้ว ที่เป็นภพภูมิ เป็นสัตว์ที่มีขันธ์ 5 ครับ และ ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม นับเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะ เหตุว่า ยังมี ตา หู ที่สามารถอ่าน ฟังพระธรรม มี จิต จิต เจตสิกที่สามารถเกิดปัญญา ความเข้าใจพระธรรม ที่เป็น จิต เจตสิก ก็นับว่า เป็นเรื่องที่ยาก ควรเห็นค่าของการมีชีวิตอยู่ และ ไม่ประมาทในการทำความดี และ ศึกษาพระธรรมต่อไป เพราะ ไม่รู้เลยว่า ภพข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ ณ ตอนนี้ คือทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ตามกำลังปัญญาของตน ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
natre
วันที่ 14 เม.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 15 เม.ย. 2557

หญ้าเป็น หรือหญ้าตายก็เป็นรูปขันธ์ ไม่ว่าจะเป็น ดิน กระดาษ หรือวัตถุพัดลมหรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่สภาพรู้ทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ และอะไรที่เป็นสภาพรู้ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก ก็เป็นนามขันธ์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 25 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ