ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๕

 
khampan.a
วันที่  23 มี.ค. 2557
หมายเลข  24622
อ่าน  1,614

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๕

โมฆบุรุษหมายความถึงผู้ที่ไม่ยอมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน, ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตาม แต่ยังประพฤติปฏิบัติตามไม่ได้ทั้งหมด เช่น อกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดี รู้ ย่อมที่จะเป็นผู้ว่าง่ายที่พยายามที่จะละ มีความตั้งใจพยายาม ที่จะละ นั่นไม่ใช่โมฆบุรุษ แต่ถ้าไม่มีความตั้งใจ ไม่มีความพยายามที่จะละ ยังคงมีความพอใจที่จะให้เป็นอกุศลอย่างนั้นอยู่ นั่นคือโมฆบุรุษ คำที่สอนทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่จริงไม่เป็นเหตุ ไม่เป็นผล ไม่เป็นหนทางที่ แท้จริงที่จะให้เกิดปัญญาได้ คำสอนนั้นๆ ทั้งหมดเป็นมุสาวาท แต่ถ้าเป็น พระธรรมเทศนาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ตรัส มุสาวาทเลย

พระพุทธพจน์แต่ละคำมีคุณค่า มีประโยชน์ เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่จริงเป็นสัจจะ และเกื้อกูลบุคคลที่รับฟังและพิจารณาประพฤติปฏิบัติตาม ได้

ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ต้องกล้าออกจากอกุศลอย่างเร็วที่สุดด้วยความไม่ ประมาท เพราะว่า ถ้าช้าก็จะทำให้ออกจากอกุศลนั้นยากขึ้น จนในที่สุด ก็อาจจะสายเกินไปที่จะออกจากอกุศลนั้นได้ และอาจจะเป็นอย่างนี้ทุกๆ ชาติ

พระพุทธศาสนาทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดปัญญาของตนเอง แต่ถ้ากระทำใดๆ ก็ตาม วิธีใดๆ ก็ตาม ที่ ไม่ทำให้เกิดปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจตามความเป็นจริง ก็ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระผู้มีพระภาคเสด็จไปสู่ที่ต่างๆ ด้วยพระมหากรุณา เพื่อที่จะให้สัตว์โลกได้ ฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลส และอบรมเจริญปัญญาของตนเองยิ่งขึ้น

ผู้ที่เจริญจริงๆ ต้องเป็นผู้เจริญทางจิตใจ ทางกุศล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ เป็นพระอริยเจ้า คือ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทรงแสดงธรรมแล้ว สาวกทั้งหลายที่ได้อบรมเจริญบารมีมา ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเพราะรู้แจ้งอริย สัจจธรรม คือ ธรรมที่เป็นความจริงที่ทำให้ผู้รู้แจ้งเป็น พระอริยบุคคล คือ เป็น ผู้ประเสริฐ ถึงขั้นดับกิเลสเป็นสมุจเฉทได้ตามลำดับ

ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ มุ่งหมายถึง ความไม่มีโรค คือ กิเลส ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมและ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อยู่ในตำราเลย ขณะนี้ ทางตาที่กำลังเห็นก็เป็นธรรมทางหูที่กำลังได้ยิน ความคิดนึกล้วนเป็นธรรมทั้งนั้น เพื่อจะเตือนให้เราทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เราอาศัย การฟัง หรือการอ่านหรือการสนทนา เพื่อที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ

การคบสมาคมกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด อาจจะนำความเจริญอย่างมากมาให้ หรือว่าอาจจะนำความเสื่อมอย่างมากมาให้ ซึ่งความเสื่อมอย่างมาก คือ ความเสื่อมโดยเห็นผิดในข้อประพฤติปฏิบัติ

เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ ผ่องใสเป็นกุศลนั้นไม่เป็นโทษเป็นภัย

พระธรรมย่อมจะเกื้อกูลให้กุศลประเภทอื่นค่อยๆ เจริญขึ้น

กุศลจิตเป็นปรมัตถธรรม ไม่มีเชื้อชาติ ไม่จำกัดผิวพรรณวรรณะ เป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเกิดกับใครที่ไหน เมื่อไร สัตว์เดรัจฉานก็มีกุศลจิตได้ เมื่อมีเหตุที่จะให้ กุศลจิตเกิด มนุษย์ก็มีกุศลได้ มีอกุศลได้ ผิวพรรณวรรณะใดก็มีกุศลได้ มีอกุศลได้

ถ้าปัญญาไม่เกิด กิเลสก็ยังคงเจริญเติบโตพอกพูนไปเรื่อยๆ ไม่มีใครบั่นทอนทำลายได้

เวลานี้แน่นอนกำลังมีผลของกรรมก็ต้องเชื่อ เห็นขณะนี้ไม่มีใครสามารถที่ จะทำให้เกิดขึ้นได้นอกจากกรรม

ทำอกุศลกรรมมาอย่างมากมาย ปล่อยนก ๗ ตัวแล้วจะพ้นได้อย่างไร?

เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่ใช่เพราะเขาบอกให้เชื่อ แต่เพราะเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงว่าวิบากทั้งหมดที่เกิดขึ้นต้องมาจากเหตุ คือ กรรมที่ได้ กระทำแล้ว

ทั้งกรรม ทั้งวิบาก เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

ถ้าเป็นผู้ที่สะสมบุญอยู่สม่ำเสมอเรื่อยๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้สุคติ พอหวังได้ เป็นที่หวังได้ เหมือนกับการเกิดในชาตินี้ ในภูมิมนุษย์นี้ ต้องเป็นผลขอกุศลกรรม หนึ่ง ซึ่งก็ยากแสนยากที่จะทำให้เกิดในภูมิมนุษย์ แต่ทุกท่านก็ได้เกิดมาแล้ว เป็นมนุษย์ด้วยผลของกุศลกรรม

ถ้ามีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่สนับสนุนในสิ่งที่ผิด ไปแสวงหาธรรม เพราะไม่รู้ว่าธรรม คือ ขณะนี้ มีจริงๆ ในขณะนี้โดยไม่ต้อง ไปแสวงหาที่ไหน

ขณะนี้ เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดปรากฏเพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไป

ในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา ฟังพระธรรม กับ ฟังเรื่องอื่น อย่างไหนจะมากกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม จึงฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป

ผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ฟังเรื่องอื่นอยู่ แต่พอถึงเวลาฟังพระธรรม เขาทิ้งการฟังเรื่องอื่นทันที มาฟังพระธรรม

ต้องไม่ลืมว่า ศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่ความมีจริง ตามเป็นจริง

จิต เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล บางทีก็ตั้งใจเหลือเกินที่จะเป็นกุศล แต่ถ้ามีอกุศลผ่านมาชักชวน คนนั้นก็ทิ้งกุศลอย่างง่ายๆ และไปตามอกุศลในทันที.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๔

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ มงคล นำมาซึ่งความดี เพราะฉะนั้น ความดีทุกประการที่ได้ทำ เป็นมงคล ไม่ต้องไปหา มงคลอย่างอื่น

@ แทนที่จะโทษคนอื่น ที่คิดว่า ได้สิ่งไม่ดี เศรษฐกิจไม่ดี ทำให้ตนเองไม่ไดรับสิ่งที่ดี ที่เคยเป็นก็ควรนึกถึงตนเอง ที่ ทำกรรมมาอย่างไร เพราะฉะนั้น แต่ะคน ก็มีกรรมแต่ ละหนึ่ง เป็นผู้มั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมของตนเองเป็นสำคัญ ไม่โทษใคร

@ อุบาสกเป็นผู้มีศรัทธา ไม่ใช่เพียงเชื่อๆ ไป เพราะ การเชื่อในสิ่งที่ผิด ไม่ใช่ศรัทธา แต่ อุบาสกที่ดี ที่เป็นผู้มีศรัทธา เพราะ เข้าใจธรรม เข้าใจความจริง จึงศรัทธาในพระรัตนตรัย ศรัทธา เชื่อ ในหนทางที่ถูกต้อง

@ ไหว้เจ้าพ่อ เจ้าแม่ให้ได้ผลที่ดี ไหว้เทวดา ให้ผลที่ดี ไม่มีทางให้ผลได้ เพราะจิตเป็น อกุศล แต่ การบูชาคุณความดีของผู้มีพระคุณ มีบิดา มารดา เป็นต้น มีการปรนนิบัติ และ อุทิศส่วนกุศลให้ จะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีแน่นอน

@ ความเข้าใจธรรมสำคัญที่สุด ชื่อธรรม ไม่สามารถจำได้ทั้งหมด แตjประโยชน์คือฟังธรรม เพื่อเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้เป็นสำคัญ

@ อุบาสกผู้ศรัทธา คือ ผู้ที่ทำกุศลทุกๆ ประการ ยินดีในการฟังพระธรรม อันเกิดมาจาก ความเข้าใจพระธรรม

@ อุบากสกเป็นผู้มีศีล คือ รู้จัก คุณของความดี จึงรักษาศีล แต่ ไม่ใช่ใครจะมีศีลได้ตลอด เวลา จะรักษาศีลได้ตลอด เพราะ ไม่ใช่พระโสดาบัน แต่ สำคัญ คือ เข้าใจก่อนว่า สิ่งที่ เกิดขึ้น แม้อกุศลว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา

@ ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศลที่เป็นเรา เข้าใจเช่นนี้ ก็จะเบา และใช้ชีวิต เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ดั่งที่เคยเป็น

@ เรื่องสวดมนต์ ที่ศึกษาธรรมวันนี้ อ่านธรรมวันนี้ เป็นมนต์ไหม เพราะ มนต์หมายถึงปัญญา ขณะที่เข้าใจธรรม เมื่อนั้นเป็นมนต์แล้ว ไม่ต้องไปสวดมนต์เพื่อได้ แต่ ทุกอย่างเป็นไป เพื่อละ

@ การเข้าใจธรรมได้ถูกต้อง ต้องใช้เวลา ต้องอบรมอย่างยาวนาน ถ้าคิดจะให้เร็วเมื่อไหร่ อยากจะรู้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นผิดทันที

@ ความดีควรเลือกไหม ถ้าเลือกเพราะอะไร เพราะ ขณะใดที่ไม่ทำกุศล ขณะนั้นก็เป็น โอกาสของอกุศล

@ การกระทำเหมือนกัน แต่ จิตต่างกันก็ได้ เพราะฉะนั้น ใจสำคัญที่สุด ที่จะรู้ว่า กุศล เป็นกุศล อกุศล เป็นอกุศล ต้องเป็นผู้ตรง และ ตรงถึงที่สุด คือ เข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นธรรม ไม่เดือดร้อน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 23 มี.ค. 2557

เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง

ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์

โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
bsomsuda
วันที่ 23 มี.ค. 2557

"เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่าจิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้น ไม่เป็นโทษเป็นภัย"

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 24 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
napachant
วันที่ 24 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 24 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 24 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 25 มี.ค. 2557

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 25 มี.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nong
วันที่ 28 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 ม.ค. 2566

คำสอนพระพุทธเจ้า มากมาย อาจารย์สุจินต์ขยาย ทุกผู้ ฟังคำแพร่กระจาย ปักหลัก จิตเจตสิกเกิดรู้ ผ่องแผ้วทุกแดน

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ