มีผู้ใหญ่สอนผมว่า ไปวัดเพื่อละ ไม่ใช่ไปเอาบุญ

 
นี่นะใหญ่สุดแล้ว
วันที่  20 มี.ค. 2557
หมายเลข  24612
อ่าน  960

กราบเรียนถามท่านวิทยากรทุกท่านนะครับ

พอดีมีญาติผู้ใหญ่ตำหนิมาว่าที่ผมชอบไปทำบุญที่วัดนั้นไม่ดี ควรไปเพื่อละ ไม่ใช่หวังไปเอาบุญ ผมก็เลยสับสนนิดหน่อยนะครับ เพราะใจก็อยากไปถวายข้าวของที่ตนเองมีให้พระที่ไม่มีเท่านั้นเอง แล้วเราจะเอาอะไรมาตัดสินหรือครับว่าการทำแบบนี้คือการละ การทำแบบนี้คือการเอา อย่างเวลาฟังธรรม เขาก็ถามว่าฟังไปทำไม ผมก็บอกว่า ฟังธรรมเป็นการสั่งสมบุญกุศล จะได้เป็นเหตุให้ไม่ทำอกุศล เขาก็บอกว่าที่ผมทำอยู่เป็นการเมาบุญ คนปฏิบัติธรรมจริงๆ เขาไม่มาเมาบุญกุศลแบบนี้ ไปวัดให้ไปปฏิบัติภาวนาเพื่อละ ไม่ใช่มัวไปเอาบุญเอากุศล ได้ยินแบบนี้ก็เลยสับสนนะครับ ขอท่านวิทยากรช่วยให้ความกระจ่างเรื่องบุญกุศลทีนะครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดง หนทางการดับกิเลส ไม่ใช่เพียงปัญญาเท่านั้น แต่จะต้องอาศัยการเจริญกุศลประการต่างๆ ที่เรียกว่า บารมี ซึ่ง มี 10 ประการ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และ อุเบกขา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เพียงกุศลเพียงการฟังพระธรรมเท่านั้น การให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น ที่เป็นกุศลในบุญกิริยาวัตถุควรเจริญทั้งนั้น เพราะการเดินทางไกล กว่าจะบรรลุธรรม จะต้องอาศัยเสบียงทาง คือ กุศลประการต่างๆ อุดหนุน ให้มีแรงที่จะเดินไปถึงจุดหมาย เพียงแต่ผู้ที่เข้าใจพระธรรมจริงๆ แล้ว คือ มีความเห็นถูก มีปัญญา ย่อมจะไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกๆ ประการ ตามที่กล่าวมา ครับ

ซึ่ง การให้ทาน ด้วยความหวังผล คือ หวังได้ลาภ สักการะ ได้ความสุข ก็เป็นโลภะที่เกิดขึ้นได้เป้็นธรรมดา เพราะความเป็นปุถุชน แม้ไม่ทำบุญ ในชีวิตของทุกคนก็เกิดโลภะเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การทำกุศล จุดประสงค์ที่ถูก คือ เพื่อขัดเกลากิเลส แต่ก็มีบ้างที่เกิดอกุศล ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ครับ

ซึ่ง การให้ของกับผู้อื่น ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้อื่น มีข้าวของเครื่องใช้ ที่เหมาะสมกับพระภิกษุก็เป็นกุศล แต่ไม่ใช่การเมาบุญที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลบุญ โดยไม่ได้นึกถึงการขัดเกลากิเลส หรือ เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ครับ

เพราะฉะนั้น กุศลควรเจริญทุกๆ ประการ พร้อมๆ กับการฟังธรรม ศึกษาพระธรรม สมกับคำว่าที่ว่า ทำดีและศึกษาพระธรรม ขออนุโมทนาในกุศล ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 20 มี.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจว่า บุญ คือ อะไร

ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นเป็นบุญ บุญคือกุศลจิต ขณะใดปราศจากโลภะโทสะ โมหะ ขณะนั้นคือบุญ, ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม สำคัญอยู่ที่ว่ากุศลจิตเกิดขึ้นหรือไม่ในขณะนั้น ฟังพระธรรม ให้ทาน มีเมตตาต่อผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ขวนขวายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ล้วนเป็นบุญทั้งนั้น

บุญกุศลทุกประการนำมาซึ่งความสุข ไม่ให้ผลที่เป็นทุกข์ใดๆ เลย เป็นสิ่งที่ควรเจริญ ไม่ควรประมาทว่านิดหน่อย เล็กน้อย หรือไม่ควรประมาทว่าได้กระทำเพียงพอแล้ว แต่ควรที่จะเจริญบ่อยๆ ทำบ่อยๆ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน

บุคคลผู้ที่เห็นโทษของกุศล และเห็นคุณประโยชน์ของบุญกุศล มีปัญญารู้ว่าบุญ เป็นที่พึ่ง นำสุขมาให้ ก็ย่อมจะอบรมเจริญกุศล พร้อมทั้งสะสมกุศลไปเรื่อยๆ ตามกำลัง ไม่ละเลย ไม่ทอดทิ้งในการเจริญกุศล ทั้งหมดทั้งปวงก็เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ กุศลจึงจะลดน้อยลง เบาบางลง เพราะเหตุว่าถ้าเป็นผู้ประมาท ไม่ได้เจริญกุศลอะไรๆ เลย กุศลย่อมจะเบาบางไม่ได้เลย มีแต่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 20 มี.ค. 2557

กุศลควรทำทุกประการ และฟังพระธรรมด้วย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 21 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นี่นะใหญ่สุดแล้ว
วันที่ 21 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

สาธุ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 21 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 22 มี.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ