มหาปทุมชาดก - นางปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อ จิญจมาณวิกา

 
khampan.a
วันที่  29 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24255
อ่าน  1,271

[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้าที่ ๑๘๙

อรรถกถามหาปทุมชาดก

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงพระปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาทิฏฺา ปรโต โทส ดังนี้. ความพิสดารว่า ครั้งปฐมโพธิกาล เมื่อพระสาวกของพระทศพลมีมากขึ้น เทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิหาประมาณไม่ได้ คุณสมุทัยของพระศาสดาได้แผ่ไปทั่ว ลาภสักการะได้เกิดขึ้นมามากมาย พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เหมือนหิ่งห้อยเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงพากันเที่ยวยืนในระหว่างถนน ชักชวนคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าผู้เดียวเมื่อไร แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายพระสมณโคดมมีผลมากแม้ที่ถวายแก่พวกเราก็มีผลมากเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงทำทานแก่พวกเราบ้าง ดังนี้ ก็ไม่ได้ลาภสักการะ จึงประชุมลับหารือกันว่า พวกเราใช้อุบายอย่างไรดีหนอ จึงจะสร้างความผิดของพระสมณโคดมขึ้นในหมู่มนุษย์ แล้วทำลาภสักการะให้ฉิบหายได้.

ครั้งนั้น ในพระนครสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่ง ชื่อจิญจมาณวิกา มีรูปร่างงามเลิศดุจเทพอัปสร มีรัศมีซ่านออกจากร่างของนาง เดียรถีย์คนหนึ่งมีความคิดกล้า ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราพึงอาศัยนางจิญจมาณวิกาสร้างความผิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้ฉิบหาย พวกเดียรถีย์ต่างรับว่า อุบายของท่านเข้าที ครั้งนั้นนางจิญจมาณวิกามาสู่อารามเดียรถีย์ ไหว้แล้วยืนอยู่ พวกเดียรถีย์มิได้พูดกับนาง นางจึงคิดว่า เรามีความผิดอย่างไรหนอ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ ดังนี้ถึงสามครั้ง แล้ว กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีความผิดอย่างไรหนอ เหตุไรท่านทั้งหลายจึงไม่พูดกับดิฉัน

พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่าพระสมณโคดมเบียดเบียนพวกเรา เที่ยวทำให้พวกเราเสื่อมลาภสักการะ ดิฉันไม่รู้ เจ้าข้า ก็ดิฉันควรจะทำอย่างไรในเรื่องนี้ ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาหาความสุขแก่พวกเรา จงใช้ตัวของเจ้าสร้างความไม่ดีขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้ฉิบหาย นางรับว่า ดีละเจ้าข้า เรื่องนี้เป็นภาระของดิฉัน ขอท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย แล้วหลีกไป โดยที่นางเป็นผู้ฉลาดในมายาหญิง ตั้งแต่นั้นมา เวลาชาวพระนครสาวัตถีฟังธรรมกถาแล้วออกจากพระเชตวัน นางห่มผ้าสีดังแมลงค่อมทอง ถือของหอมแลดอกไม้เป็นต้น เดินตรงไปพระเชตวัน เมื่อมีคน ถามว่า จะไปไหนเวลานี้ ก็กล่าวว่าประโยชน์อะไรด้วยที่เป็นที่ไปของฉันสำหรับท่าน แล้วก็เข้าอารามเดียรถีย์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ พระเชตวัน

ครั้นเวลาเช้า เมื่อพวกอุบาสกออกจากพระนครเพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นางก็ทำเป็นอยู่ในพระเชตวันแล้วเข้าพระนครเมื่อมีใครถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน นางก็กล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ของเราสำหรับท่าน ครั้นล่วงไปเดือนสองเดือน ถูกถามอีก นางก็กล่าวว่าฉันอยู่ร่วมคันกุฎีกับพระสมณโคดมในพระเชตวัน ได้ทำความสงสัยแก่พวกปุถุชนว่า นางจิญจมาณวิกาพูดนี้ จริงหรือไม่หนอ ครั้นล่วงไปสามสี่เดือนนางก็เอาผ้าขี้ริ้วมาพันท้อง ทำเป็นหญิงมีท้อง เอาผ้าแดงคลุมข้างบน ทำให้พวกอันธพาลเชื่อว่า มีท้องกับพระสมณโคดม ครั้นล่วงไปแปดเก้าเดือนนางก็เอาไม้วงกลมผูกไว้ที่ท้อง เอาผ้าคลุมข้างบน ให้พวกเดียรถีย์เอาไม้คางโคทุบหลังมือ หลังเท้าให้บวมมีอินทรีย์ลำบาก

ครั้นเวลาเย็น เมื่อพระตถาคต นั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่ตกแต่งไว้ นางไปธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์พระตถาคต เหมือนหญิงที่พยายามเอาก้อนคูถขว้างดวงจันทร์ ด่าพระตถาคตในท่ามกลางบริษัททีเดียวว่า แน่ะมหาสมณะ ท่านแสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของท่านไพเราะ ริมฝีปากสนิทดี แต่ฉันมีท้องเพราะท่าน เวลานี้ก็ครบกำหนดแล้ว ท่านยังไม่เตรียมเรือนคลอดแก่ฉัน เนยใสและน้ำมันเป็นต้นก็ยังไม่มีเมื่อท่านไม่ทำเอง ก็ไม่บอกแก่อุปัฏฐากของตนคนใดคนหนึ่งเช่นพระเจ้าโกศลอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา ว่าจงช่วยทำสิ่งที่ควรทำแก่นางจิญจมาณวิกานี้ ท่านรู้จักแต่อภิรมย์เท่านั้น ไม่รู้จักบริหารครรภ์ พระตถาคต ได้ทรงสดับดังนั้น จึงหยุดธรรมกถามีอาการดุจพระยาสีหะ ทรงบันลือพระสุรสิงหนาทว่า น้องหญิง ฉันกับเธอสองคนเท่านั้น รู้คำที่เธอกล่าวว่า จริงหรือไม่จริง นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า ถูกแล้ว พระสมณะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะท่านกับฉันรู้กัน. ขณะนั้น ภพของท้าวสักกะได้แลดูอาการเร่าร้อน

ท้าวสักกะพิจารณาดูก็ทรงทราบว่า นางจิญจมาณวิกาด่าพระตถาคต ด้วยเรื่องไม่เป็นจริง จึงทรงดำริว่า จักชำระเรื่องนี้ แล้วเสด็จมากับเทพบุตรสี่องค์ เทพบุตรเหล่านั้นแปลงเพศเป็นลูกหนู เข้าไปกัดเชือกผูกไม้วงกลมพร้อมกัน ได้มีลมพัดเปิดผ้าคลุมขึ้น ไม้วงกลมตกลงถูกหลังเท้านางจิญจมาณวิกา ปลายเท้าทั้งสองแตก พวกมนุษย์เห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า อีกาลกรรณี มึงด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และช่วยกันถ่มน้ำลายรดศีรษะ ถือก้อนดินท่อนไม้ขับออกจากพระเชตวัน พอนางจิญจมาณวิกาได้พ้นครองจักษุพระตถาคต แผ่นดินใหญ่แยกเป็นช่อง เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจี โอบอุ้มนางจิญจมาณวิกา เหมือนกับห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้ไว้ จมลงไปในอเวจี ลาภสักการะของอัญเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป แต่ของพระทศพลเจริญยิ่งขึ้นเหลือประมาณ

วันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลาย ยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอัครทักษิไณย-บุคคลอันโอฬาร ด้วยเรื่องไม่จริง ถึงความพินาศใหญ่ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลาย นั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไรเมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่นางจิญจมาณวิกานี้ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริงแล้วถึงความพินาศแม้ในกาลก่อน นางก็ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริง แล้วถึงความพินาศเหมือนกันแล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดให้ครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต พระญาติทั้งหลายถวายพระนามพระโพธิสัตว์ว่า ปทุมกุมารเพราะมีพระพักตร์แลดูเหมือนดอกบัวบาน พระโพธิสัตว์นั้นครั้นเจริญวัยแล้วไปเรียนศิลปวิทยาทั้งปวงสำเร็จแล้วกลับมา ลำดับนั้น พระชนนีของพระองค์สิ้นพระชนม์

พระราชาได้แต่งตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส ต่อมา พระราชาเสด็จไปปราบปัจจันตประเทศที่กำเริบขึ้น รับสั่งกะพระอัครมเหสีว่า น้องรัก เธอจงอยู่ที่นี้แหละ ฉันจะไปปราบปัจจันตประเทศ พระนางทูลว่า หม่อมฉัน จะไม่อยู่ที่นี่ จักขอโดยเสด็จด้วยพระองค์ตรัสโทษในสนามรบให้ฟัง แล้วตรัสว่า เธอจงอย่ากระวนกระวายอยู่จนกว่าฉันจะมา ฉันจะสั่งปทุมกุมารมิให้ลืมกิจการที่ควรกระทำแก่เธอ ดังนี้แล้วทรงกระทำตามที่ตรัส แล้วเสด็จไปขับไล่ปัจจามิตร ทำชนบทให้สงบราบคาบแล้วเสด็จกลับมาตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร

พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระชนกเสด็จมา จึงให้ประดับพระนครตกแต่งพระราชมณเฑียร แล้วไปสำนักพระอัครมเหสีแต่พระองค์เดียว พระ-อัครมเหสีเห็นรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตรักใคร่ พระโพธิสัตว์ถวายบังคมพระนางแล้ว ทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าประสงค์สิ่งใดหม่อมฉันจะทำถวาย ลำดับนั้น พระนางตรัสว่า เธออย่าเรียกฉันว่าแม่ เสด็จลุกขึ้นจูงมือพระโพธิสัตว์ตรัสว่า เธอจงขึ้นบนพระที่เถิด ทูลถามว่า เพื่ออะไรตรัสว่า เราทั้งสองจักรื่นรมย์ด้วยความยินดีในกิเลส ชั่วเวลาที่พระราชายังไม่เสด็จมา ข้าแต่พระแม่เจ้า เสด็จแม่เป็นแม่ของหม่อมฉันด้วย ยังมีพระสามีอยู่ด้วย ขึ้นชื่อว่าหญิงที่มีผู้หวงแหน หม่อมฉันไม่เคยทำลายอินทรีย์แลดูด้วยอำนาจกิเลสเลย หม่อมฉันจักทำกรรมที่เศร้าหมองถึงเพียงนี้กับพระแม่อย่างไรได้ พระนางได้ตรัสถึงสองสามครั้ง เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนา พระนางจึงตรัสว่า เจ้าจะไม่ทำตามคำของเราหรือ ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันทำไม่ได้ ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักกราบทูลแด่พระราชาอย่างนี้ แล้วให้ตัดศีรษะของท่านเสีย พระมหาสัตว์ตรัสว่า จงทำตามชอบของพระแม่เจ้าเถิดได้ทำให้พระนางละอายพระทัยแล้วหลีกไป

พระนางมีความสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า ถ้ากุมารนี้ไปกราบทูลพระบิดาก่อนเรา เราคงไม่รอดชีวิต เราจักกราบทูลเสียก่อน ทรงดำริเช่นนี้แล้ว ไม่เสวยกระยาหาร ทรงนุ่งห่มผ้าเศร้าหมอง แสดงรอยเล็บที่พระสรีระ แล้วให้สัญญาแก่พวกหญิงคนใช้ว่า เมื่อพระราชาตรัสถามว่า พระเทวีเสด็จไปไหนท่านทั้งหลายทูลว่า เป็นไข้ แล้วก็ลวงว่าเป็นไข้บรรทมอยู่ พระราชาทรงทำประทักษิณพระนครแล้วเสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ เมื่อไม่เห็นเทวี จึงตรัสถามว่าพระเทวีไปไหน ทรงสดับว่าเป็นไข้ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี พระน้องไม่สบายไปหรือ พระนางทำเป็นไม่ได้ยินดำรัสพระราชาแม้ถูกถามถึงสองสามครั้ง ก็นิ่งเสีย พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี เหตุไรจึงไม่พูดกับฉัน

พระนางทูลว่า บรรดาหญิงที่มีสามีแล้วไม่มีใครเขาเป็นเหมือนหม่อมฉัน พระราชาตรัสถามว่า ใครเบียดเบียนพระน้องหรือ จงบอกพี่เร็วพี่จักตัดหัวมันเสีย พระนางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงตั้งใครรักษาพระนครแล้วเสด็จไป ตรัสว่า ตั้งเจ้าปทุมกุมารโอรสของเรา พระนางทูลว่า ปทุมกุมารมาที่อยู่ของหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันจะกล่าวว่า แน่ะพ่อเจ้าอย่าทำอย่างนี้ ฉันเป็นแม่ของเจ้า ปทุมกุมารกล่าวว่า นอกจากเรา คนอื่นชื่อว่าเป็นพระราชาไม่มี เราจักให้พระนางอยู่ในพระราชฐาน รื่นรมย์กันด้วยความยินดีแห่งกิเลส แล้วจับมวยผมของหม่อมฉันทึ้งไปมา เมื่อหม่อมฉันไม่ยอมทำตามคำของตน ก็ทุบตีแล้วออกไป

พระราชาไม่ทรงพิจารณาก่อน ทรงพระพิโรธดังอสรพิษรับสั่งพวกราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไปมัดปทุมกุมารนำมา พวกราชบุรุษพากันไปวังปทุมกุมาร เหมือนอย่างกะแห่ไปเต็มเมือง จับปทุมกุมารทุบตีแล้วมัดมือไพล่หลังอย่างมั่นคง เอาโซ่คล้องคอกระทำเป็นนักโทษประหารชีวิต ทุบตีพลางนำไปพลาง พระโพธิสัตว์คิดว่า นี้เป็นการกระทำของเทวี จึงเดินบ่นมาว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ทั้งหลาย เรามิได้ประทุษร้ายพระราชา เราไม่มีความผิดเลย ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันเอิกเกริกกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาเชื่อคำผู้หญิงรับสั่งให้ฆ่าพระมหาปทุมกุมาร ประชุมกันกลิ้งเกลือกแทบเท้าพระกุมารร่ำไรรำพันด้วยเสียงดังว่า ข้าแต่นาย กรรมนี้ไม่สมควรแก่ท่านเลย

ขณะนั้นพวกราชบุรุษนำพระกุมารไปแสดงแก่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรแล้วไม่อาจข่มพระพิโรธได้ จึงมีรับสั่งว่า กุมารนี้ไม่ใช่พระราชาเลย ทำท่าทีเป็นพระราชาเป็นโอรสของเรา ผิดในพระอัครมเหสี ไปเถิด พวกท่านจงจับกุมารทิ้งในเหว เป็นที่ทิ้งโจรให้ถึงความพินาศเสีย พระมหาสัตว์วิงวอนพระชนกว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่มีความผิดถึงเพียงนี้เลย ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อคำของผู้หญิงทำให้หม่อมฉันพินาศเลย พระราชามิได้ทรงเชื่อถ้อยคำของพระโพธิสัตว์ ลำดับนั้น นางสนมหมื่นหกพันพากันร้องให้เซ็งแซ่ว่า พ่อมหาปทุมกุมาร พ่อได้รับกรรมอันนี้ ซึ่งไม่สมควรแก่ตนเลย พวกผู้ใหญ่ทั้งหมดมีกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ตลอดจนอำมาตย์ราชเสวกทั้งหลาย พากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยคุณคือศีลาจารวัตรเป็นรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ ขอพระองค์อย่าได้ทรงเชื่อคำของผู้หญิง ไม่ทรงพิจารณาก่อนแล้วทำพระกุมารให้พินาศเสียเลย วิสัยพระราชา ต้องใคร่ครวญก่อนจึงกระทำลงไปแล้วกล่าวคาถา ๗ คาถาว่า

พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่เห็นโทษของ ผู้อื่นว่าน้อยหรือมากโดยประการทั้งปวง ไม่พิจารณา ด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว ไม่พึงลงอาชญา. กษัตริย์พระองค์ใด ยังไม่ทันพิจารณา แล้วทรง ลงพระราชอาญา กษัตริย์พระองค์นั้นชื่อว่า ย่อม กลืนกินพระกระยาหาร พร้อมด้วยหนาม เหมือนคน ตาบอดกลืนกินอาหารพร้อมด้วยแมลงวัน ฉะนั้น. กษัตริย์พระองค์ใด ทรงลงพระราชอาชญากับผู้ ไม่ควรจะลงพระอาญา กษัตริย์พระองค์นั้น เป็น เหมือนคนเดินทางไม่ราบเรียบ ไม่รู้ว่าทางเรียบหรือ ไม่เรียบ

กษัตริย์พระองค์ใด ทรงเห็นเหตุที่ควรลงพระ- ราชอาญา และไม่ควรพระราชอาชญา และทรงเห็น เหตุนั้น โดยประการทั้งปวงเป็นอย่างดีแล้ว ทรง ปกครองบ้านเมือง กษัตริย์พระองค์นั้นสมควรปกครอง ราชสมบัติ กษัตริย์ผู้มีพระทัยอ่อนโยนโดยส่วนเดียว หรือมี พระทัยกล้าโดยส่วนเดียวก็ไม่อาจที่จะดำรงพระองค์ไว้ ในอิสริยยศที่สูงใหญ่ได้ เพราะเหตุนั้น กษัตริย์ไม่พึง ประพฤติเหตุทั้งสอง คือพระทัยอ่อนเกินไปและกล้า เกินไป.

กษัตริย์ผู้มีพระทัยอ่อน ก็ถูกประชาราษฎร์ ดูหมิ่น กษัตริย์ผู้มีพระทัยแข็งนักก็มีเวร กษัตริย์ควร ทราบเหตุทั้งสองอย่างแล้วประพฤติเป็นกลางๆ ข้าแต่พระราชา คนมีราคะย่อมพูดมาก แม้คนมี โทสะก็พูดมาก พระองค์ไม่ควรจะให้ปลงพระชนม์ พระราชโอรส เพราะเหตุแห่งหญิงเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาทิฏา แปลว่า ไม่เห็น.

บทว่า ปรสฺส แปลว่า ของผู้อื่น.

บทว่า สพฺพโส แปลว่า ทั้งปวง.

บทว่า อณุถูลานิ ได้แก่ โทษน้อยและใหญ่

บทว่า สาม อปฺปฏิเวกฺขิยา ความว่าพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ละทิ้งคำของผู้อื่น ไม่กระทำให้ประจักษ์แก่ตนไม่ทรงปรับคือไม่ทรงเริ่มตั้งอาชญา. จริงอยู่ในรัชกาลแห่งพระเจ้าสมมติ สัตว์ชื่อว่าผู้มีอาชญายิ่งย่อมไม่มี ชื่อว่าการพยายามในการตัดมือและเท้า ยิ่งขึ้นไปกว่าตี การติเตียนและการขับไล่ย่อมไม่มี ภายหลังพวกอำมาตย์เหล่านั้นกล่าวหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยแห่งพระราชผู้กักขฬะนั้นอย่างนี้ว่า การไม่พิจารณาเห็นโทษของผู้อื่นเองโดยส่วนเดียว ไม่สมควรเลย.

บทว่า โย จ อปฺปฏิเวกฺขิตฺวา ความว่า ข้าแต่พระมหาราช พระราชาใด เมื่อพิจารณาปรับโทษอันสมควรแก่โทษอย่างนี้ ตั้งอยู่ในการลุอคติ ไม่พิจารณาเห็นโทษนั้น ลงอาญามีการตัดมือเป็นต้น พระราชานั้น เมื่อก่อเหตุให้แก่ตน ชื่อว่ากลืนพระกระยาหารพร้อมหนาม เหมือนคนตาบอดกลืนข้าวกับแมลงวันฉะนั้น.

บทว่า อทณฺฑิย ความว่า พระราชาใด ทรงลงอาญาผู้ที่ไม่ควรลงอาญาและไม่ลงอาญาผู้ควรลงอาญา ทำตามความชอบใจของตนเท่านั้น พระราชานั้น เป็นดังคนตาบอด แม้เดินทางเรียบ ก็ไม่รู้ว่าทางเรียบหรือไม่เรียบเดินไป เหมือนคนตาบอดลื่นลงที่แผ่นหินเป็นต้น ย่อมถึงทุกข์ใหญ่ในมหานรกในอบายทั้ง ๔.

บทว่า เอตานิ านานิ ความว่า พระราชาใด ทรงเห็นเหตุที่ควรลงอาญาและไม่ควรลงอาญา และทรงเห็นโทษน้อยใหญ่ ในเหตุที่ควรลงอาญาทั้งหมดอย่างดีแล้ว ทรงปกครองบ้านเมือง พระราชาพระองค์นั้นแลสมควรเพื่อปกครองราชสมบัติ.

บทว่า อตฺต มหนฺเต เปตุ ความว่าพระราชาผู้มีพระทัยอ่อนโยนโดยส่วนเดียว ไม่อาจยังโภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดเห็นปานนั้น ทำให้เกิดขึ้นคือให้มั่นคงถาวร ตั้งตนไว้ในความเป็นใหญ่อันโอฬาร.

บทว่า มุทุ ความว่า พระราชาผู้มีหทัยอ่อนโยน เป็นที่ดูหมิ่นของชาวแว่นแคว้น พระองค์ถูกเขาดูหมิ่น ย่อมไม่อาจทำราชสมบัติให้ปราศโจรได้.

บทว่า เวรวา ความว่า ก็ชาวแว่นแคว้น ทั้งหมดเป็นผู้มีเวรต่อพระราชาผู้พระทัยกล้าแข็งเกินไป เพราะฉะนั้น พระองค์ชื่อว่าเป็นผู้มีเวร.

บทว่า อนุมชฺฌ ความว่าเป็นพระราชา พึงประพฤติเป็นกลาง คือ เป็นกลางของความอ่อนและกล้าแข็งคือเป็นผู้ไม่อ่อนนัก ไม่กล้าแข็งนักครองราชสมบัติ.

บทว่า น อิตฺถิการณา ความว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ไม่ควรสั่งให้ประหารพระโอรสผู้เป็นรัช-ทายาทสืบสันตติวงศ์ เพราะอาศัยมาตุคามผู้ชั่วช้าลามก

แม้อำมาตย์ราชเสวกทั้งหลาย จะพากันกราบทูลด้วยเหตุต่างๆ อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้พระราชาเชื่อถ้อยคำของตนได้. แม้พระโพธิสัตว์ก็วิงวอนอยู่ก็ไม่อาจให้พระราชาเชื่อถ้อยคำของตนได้. ฝ่ายพระราชาผู้เป็นอันธพาล เมื่อจะทรงบังคับอำมาตย์ว่า ไปเถิด พวกท่านจงจับปทุมกุมารนั้นทิ้งลงในเหวทิ้งโจร ได้ตรัสพระคาถาที่ ๘ ว่า

ด้วยเหตุใด ชาวโลกทั้งหมด จึงร่วมกันเป็นพวก พ้องของเจ้าปทุมกุมาร ส่วนมเหสีนี้ พระองค์เดียว เท่านั้น ไม่มีพวกพ้อง ด้วยเหตุนั้น เราจักปฏิบัติตามคำ ของมเหสี ท่านทั้งหลายจงไป จงโยนเจ้าปทุมกุมาร นั้นลงในเหวทีเดียว

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตนาห ความว่า ด้วยเหตุใด ชาวโลกทั้งปวง จึงร่วมเป็นผักฝ่ายแห่งพระกุมารดำรงอยู่ ส่วนพระมเหสีพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีพวกพ้อง ด้วยเหตุนั้น เราจักปฏิบัติตามคำของพระนาง ไปเถิดท่านทั้งหลาย จงยกปทุมกุมารนั้นขึ้นสู่ภูเขาแล้วโยนไปในเหวเถิด.

เมื่อพระราชามีพระราชโองการตรัสอย่างนี้แล้ว นางพระสนมหมื่นหกพันสักคนหนึ่งก็ไม่อาจดำรงภาวะของตนอยู่ได้พากันร้องไห้คร่ำครวญ ชาวพระนครทั้งสิ้นกอดอกร้องไห้สยายผมพิลาปรำพันอยู่ พระราชาทรงดำริว่าคนเหล่านั้นจะพึงห้ามการทิ้งกุมารลงเหว จึงพร้อมด้วยบริวารเสด็จไป เมื่อมหาชนกำลังคร่ำครวญอยู่นั่นแล จึงรับสั่งให้จับปทุมกุมารเอาพระบาทขึ้นเบื้องบน เอาพระเศียรลงเบื้องล่าง แล้วให้โยนลงไปในเหว ทันใดนั้น ด้วยอานุภาพเมตตาภาวนาของปทุมกุมาร เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ภูเขา ได้ปลอบโยนพระกุมารว่า อย่ากลัวเลย พ่อมหาปทุม แล้วกางมือทั้งสองออกรองรับไว้ที่หทัย ให้ได้สัมผัสทิพยรส แล้วพาไปประทับ ณ ห้องพังพานของพญานาคในนาคพิภพซึ่งตั้งอยู่เชิงภูเขา พญานาคได้นำพระโพธิสัตว์ไปสู่นาคพิภพแล้ว แบ่งสมบัติของตนให้ครองครึ่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี กล่าวว่า เราจักไปแดนมนุษย์ พญานาคถามว่า ท่านจักไปที่ไหน เราจักไปบวช ณ หิมวันต- ประเทศ พญานาครับว่า สาธุ แล้วพาพระโพธิสัตว์ไปส่งถึงแดนมนุษย์ ให้บริขารบรรพชิตแล้วกลับไปที่อยู่ของตน.

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เข้าหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังฌานและอภิญญาให้เกิด มีเผือกมันผลไม้เป็นอาหารอาศัยอยู่ในที่นั้น ครั้งนั้นนายพรานชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ไปถึงที่นั้น จำพระโพธิสัตว์ได้จึงถามว่า ข้าแต่พระองค์ ท่านคือมหาปทุมกุมารมิใช่หรือ เมื่อพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า ถูกแล้วสหาย ได้นมัสการพระโพธิสัตว์ อยู่ที่นั้น สองสามวันแล้วไปเมืองพาราณสีกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ พระโอรสของพระองค์บวชเป็นฤาษีอยู่ในบรรณศาลา ณ หิมวันตประเทศ ข้าพระองค์ได้อาศัยอยู่ในสำนักพระโอรสนั้นสองสามวันแล้วลามา พระราชาตรัสถามว่า ท่านเห็นแน่ชัดแล้วหรือกราบทูลว่า ถูกแล้วพระองค์ พระราชาแวดล้อมด้วยพลนิกายเป็นอันมากเสด็จไป ณ ที่นั้น ตั้งค่ายพักพลอยู่ที่ชายป่า พระองค์แวดล้อมไปด้วยอำมาตย์เสด็จไปบรรณศาลา ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์มีสิริรุ่งโรจน์ประดุจรูปทองประทับนั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา ถวายนมัสการแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พวกอำมาตย์นมัสการทำปฏิสันถารนั่งแล้ว พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสันถารพระราชาด้วยผลไม้.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ เราให้เขาโยนท่านลงเหวลึก อย่างไรท่านจึงมีชีวิตอยู่ได้ ได้ตรัสพระคาถาที่ ๙ ว่า

เราได้ให้เขาโยนท่านไปในซอกเขา ซึ่งเหมือน นรกลึกหลายชั่วลำตาล ยากที่จะขึ้นมาได้ เหตุไร ท่านจึงไม่ตายในที่นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกตาเล แปลว่า ประมาณหลายชั่วลำตาล. บทว่า นามริ ตัดเป็น น อมริ. (พระกุมารทูลว่า) พญานาคผู้มีกำลังเรี่ยวแรงเกิดที่ข้างภูเขา รับอาตมภาพในที่นั้นด้วยขนดหาง เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงมิตายในที่นั้น (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนพระราชบุตร มาเถิด เราจักนำเจ้ากลับ ไปสู่พระราชวัง จะให้เจ้าครอบครองราชสมบัติ ขอ ความเจริญจงมีแก่เจ้าเถิด เจ้าจักมาทำอะไรอยู่ในป่า เล่า. (พระกุมารทูลว่า) บุรุษกลืนกินเบ็ดแล้วปลดเบ็ดที่เปื้อนโลหิตออก ได้แล้วพึงมีความสุขฉันใด อาตมภาพมองเห็นด้วย ตนเอง ฉันนั้น. (พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า) เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าเป็นเบ็ด เจ้ากล่าวอะไร หนอว่าเบ็ดเปื้อนโลหิต เจ้ากล่าวอะไรหนอว่าปลดออก ได้ เราถามแล้วขอเจ้าจงบอกความข้อนั้นแก่เรา. (ดาบสทูลว่า) ดูก่อนมหาบพิตร อาตมภาพกล่าวกามคุณว่าเป็น เบ็ด กล่าวช้างและม้าว่า ติดเปื้อนโลหิต กล่าวถึง การสละได้ว่าปลดออกได้ ขอมหาบพิตรจงทราบ อย่างนี้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺจุคฺคหิ ความว่า พระกุมารทูลเรื่องทั้งหมดว่าในกาลเมื่อข้าพระองค์ตกจากภูเขา พญานาคผู้มีกำลังเรี่ยวแรงรับข้าพระองค์อันเทวดาประคับประคองไว้แล้วปลอบโยนด้วยสัมผัสอันเป็นทิพย์นำเข้าไป ก็แลครั้นรับแล้ว นำไปยังนาคพิภพให้ยศใหญ่ เมื่อข้าพระองค์กล่าวว่าจงนำไปถิ่นมนุษย์ ก็นำข้าพระองค์มาส่งยังแดนมนุษย์ ข้าพระองค์นั้นมาบวชอยู่ในที่นี้ ข้าพระองค์ไม่ตายในที่นั้น เพราะอานุภาพของเทวดาและพญานาคนั้นด้วยประการฉะนี้.

บทว่า เอหิ ความว่า พระราชาทรงสดับคำของเขาแล้ว ถึงความโสมนัส หมอบลงที่พระบาทตรัสว่า พ่อราชบุตร เราเชื่อ เราเชื่อคำของหญิงโดยภาวะเป็นคนเขลา เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อว่าเราผิดในท่านผู้สมบูรณ์ด้วยคุณคือศีลและอาจาระ ขอท่านจงงดโทษให้แก่เราเถิด เมื่อพระราชบุตรทูลว่า ลุกขึ้นเถิดมหาบพิตรข้าพระองค์จะงดโทษให้แก่พระองค์ เบื้องหน้าแต่นี้ พระองค์อย่าพึงกระทำโดยมิได้พิจารณาอย่างนี้ต่อไป จึงตรัสอย่างนี้ว่า พ่อราชบุตร ท่านจงยกเศวตฉัตรขาวอันเป็นของตระกูลของตนแล้วครองราชสมบัติ เป็นอันชื่อว่าพระองค์งดโทษให้เรา.

บทว่า อทฺธริตฺวา ความว่า คนกลืนเบ็ดเข้าไปอันยังไม่ถึงหทัยและม้ามเป็นต้น พึงปลดเบ็ดนั้นออกได้ชื่อว่ามีความสุข

บทว่า อตฺตาน ความว่า ข้าแต่มหาบพิตร ข้าพระองค์แลเห็นอาตมาเหมือนบุรุษผู้กลืนเบ็ดถึงซึ่งความสวัสดีอีก

บทว่า กินฺนุ ตฺว นี้ พระราชาตรัสถาม เพื่อทรงสดับความนั้นโดยพิสดาร

ด้วยบทว่า กามาห นี้ เรากล่าวกามคุณ ๕ว่าเป็นเหมือนช้างและม้าที่เปื้อนเลือด

บทว่า จตฺตาห ตัดเป็น จตฺต อห ความว่าการสละทั้งหมดว่าเป็นการปลดออกในกาลใด ในกาลบัดนี้ ข้าพระองค์กล่าวการสละทั้งหมดว่าเป็นการปลดออก

พระมหาสัตว์ได้ถวายโอวาทแก่พระชนกว่า ข้าแต่พระมหาบพิตร กิจด้วยราชสมบัติไม่มีแก่อาตมา ขอพระองค์อย่ายังทศพิธราชธรรมให้กำเริบจงละการลุอำนาจอคติเสีย ครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด พระราชาทรงกันแสงคร่ำครวญเสด็จกลับพระนคร ในระหว่างทางได้ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า เราต้องพลัดพรากจากบุตรที่สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณเห็นปานนี้เพราะใคร พวกอำมาตย์กราบทูลว่า เพราะพระอัครมเหสี พระเจ้าข้า พระราชามีรับสั่งให้จับพระอัครมเหสีเอาพระบาทขึ้นเบื้องบนโยนลงไปในเหวทิ้งโจร แล้วทรงครองราชสมบัติโดยธรรม. พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน นางจิญจมาณวิกานี้ก็ด่าเราแล้วถึงความ-พินาศมาแล้วอย่างนี้ ทรงประชุมชาดกด้วยคาถาสุดท้ายว่า พระราชมารดา (แม่เลี้ยง) ของเราคือ นางจิญจมาณวิกา พระราชบิดาของเราคือ พระเทวทัต พญานาคผู้บัณฑิตคืออานนท์ และเทวดา คือ พระสารีบุตร พระราชบุตรในกาลนั้นคือ เราตถาคต ท่านทั้งหลายจงจำชาดก ไว้อย่างนี้เถิด

จบอรรถกถามหาปทุมชาดก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 30 ธ.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 7 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ