ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๓

 
khampan.a
วันที่  29 ธ.ค. 2556
หมายเลข  24252
อ่าน  1,444

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๒๓

* ในปีหนึ่งๆ ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมเพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งควรที่จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

* พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ละคำ ทำให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน

* จากที่มากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยความเห็นผิด แล้วได้ฟังความจริง ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ย่อมจะมีความปลาบปลื้มที่ได้เข้าใจถูก เห็นถูก

* ถ้าคิดว่า “เดี๋ยวไปนรก” สะดุ้งกลัวไหม? อกุศลกรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเหตุนำไปสู่นรก ถ้ามีเหตุที่จะต้องไปเกิดในนรก ก็ต้องเป็นไป ใครๆ ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะเหตุว่า อกุศลที่มีมากๆ มีเพิ่มขึ้นทุกวันๆ นี้แหละ ที่จะเป็นเหตุทำให้ไปเกิดในนรก หนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาที่จะทำให้ เบาบางจากความสะดุ้งกลัว

* เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ รู้ได้เลยว่า ไม่มีใครทำให้ นอกจากอกุศลกรรมที่ตนเองได้ทำมาแล้ว เท่านั้น ถึงคราวให้ผล

* มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่รู้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

* ศึกษาธรรมทีละคำ เพื่อจะได้เข้าใจในคำที่ได้ยินได้ฟังจริงๆ โดยที่ไม่คิดว่าเข้าใจแล้ว

* ไม่ควรประมาทพระพุทธพจน์ เพราะแต่ละคำมีค่าประมาณไม่ได้เลย มาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีที่นานแสนนาน ยิ่งกว่าใครเพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

* ถ้าใครประมาท คนนั้นจะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็เป็นผู้ไม่รู้โดยตลอดจนกระทั่งตายไป เกิดอีก ก็ไม่รู้อีก ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว กี่พระองค์ คนนั้นก็ยังคงไม่รู้อยู่ นั่นเอง

* เป็นประโยชน์แล้วที่ได้ยินได้ฟังในแต่ละครั้ง เพราะบุคคลผู้เป็นบัณฑิต ท่านย่อมรู้ว่า การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ถึงแม้จะเป็นผู้ที่ฟังน้อย แต่ว่าเป็นผู้ที่พิจารณาข้อความที่ได้ฟังแม้น้อย โดยที่ไม่ผ่านไป ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ

* ในขณะที่กำลังเห็น มีตา อันเป็นที่เกิดของจิตเห็นซึ่งยังไม่ดับ มีสีเป็น อารมณ์ของจิตเห็น มีเจตสิกธรรมเกิดร่วมกับจิตเห็น แล้วเราอยู่ไหน? ไม่มีเราเลย มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป

* ใครก็ตามซึ่งเป็นคนหมกมุ่นในการนอนสบาย นอนเพลิน ก็ย่อมไม่กระทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามควรที่จะกระทำอย่างนั้น ก็ย่อมจะไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของใคร

* นับว่าเป็นการดี ถ้าหากว่ามีโอกาสได้ทำหรือมีชีวิตอยู่จนกระทั่งได้ทำกุศลตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่ทีแรก แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่เจริญกุศลทุกครั้งที่มีโอกาสหรือมีทางที่จะกระทำได้ มัวแต่รอวันคืนที่จะทำกุศลที่ตนปรารถนาไว้เท่านั้น ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำกุศลที่จะรอคอยว่าจะทำนั้น ก็ได้

* อย่าคิดว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นของง่าย เพียงในชาตินี้ชาติเดียว ถ้าดูชีวิตของพระสาวกที่ท่านรู้แจ้งอริยสัจธรรมมาแล้ว จะเห็นได้ว่า ท่านอบรมปัญญาและการอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นกัปป์ๆ นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ครั้งสมัยของพระผู้มีพระภาคพระองค์ก่อนๆ หลายพระองค์ กว่าที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ผิดจากการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ ต้องเป็นการตรงต่อสภาพธรรมที่ปรากฏ

* ปฏิบัติธรรม คือ การอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ต้องไปสู่สถานที่หนึ่งที่ใดแล้วทำอาการกิริยาที่ไม่เป็นปกติขึ้น แล้วก็คิดว่า นั่นคือการปฏิบัติธรรม ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

* โกรธ ดีไหม? เพียงแค่โกรธ ก็แย่แล้ว แล้วยังไปประทุษร้ายเบียดเบียนคนอื่นอีก ก็ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก

* ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ก็จะเห็นว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี แล้วก็จะเริ่มเห็นโทษของธรรมฝ่ายไม่ดี แต่ก็อีกนานมากกว่าจะค่อยๆ ละธรรมฝ่ายที่ไม่ดีที่สะสมมานาน ได้

* โดยปกติทั่วไปแล้วคนเรามักจะโกรธบุคคลที่ทำไม่ดี แต่ขึ้นชื่อว่าความโกรธแล้วไม่ดีเลย ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม เพราะเป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่มีโทษ และที่สำคัญ ในขณะที่โกรธคนทำไม่ดี แสดงให้เห็นว่าตนเองก็เป็นคนไม่ดีเช่นกันที่ไปโกรธเขา เมื่อเห็นใครทำผิด กระทำไม่ดี ไม่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดๆ ก็ตาม ควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจความจริง มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขา ก็ย่อมจะทำให้กุศลจิตเกิดขึ้นแทนอกุศลได้ เพราะเหตุว่า การไม่ใส่ใจในความไม่ดีของบุคคลอื่น แต่ใส่ใจพิจารณาในความดีของเขาที่มีอยู่ ย่อมสามารถระงับความโกรธได้เช่นเดียวกัน

* ชีวิตไม่ได้ยืนยาวเลย คนที่เราโกรธและเราผู้ที่โกรธเขา ในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์ของกุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ขัดเกลา ละคลายกิเลสของตนเอง

* ขณะที่เป็นไปกับด้วยอกุศล เป็นขณะหนึ่ง ขณะที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง ไม่ปะปนกัน

* จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกจากที่ไม่เคยรู้มาก่อน

* ไม่ใช่พระพุทธประสงค์เลย ที่จะให้คนอื่นไม่รู้ เพราะพระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมา เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เมื่อไม่ฟังพระธรรม แล้วคิดธรรมเอาเอง จะถูกได้อย่างไร ใครที่บอกว่าเข้าใจธรรมง่ายๆ จะเป็นไปได้อย่างไร

* เห็นแล้ว ไม่เป็นอกุศล ได้ยินแล้ว ไม่เป็นอกุศล นี้คือ สังวร หรือ สำรวม เพราะอกุศลที่สะสมมานาน เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ใครๆ ก็ยับยั้งไม่ได้ โลกเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะความไม่รู้

* ชาตินี้ เป็นชาติก่อนของชาติหน้า ขณะนี้กำลังสะสมสิ่งที่เป็นกุศลหรือเปล่า ฟังพระธรรมให้เข้าใจหรือเปล่า?

* คำจริง เท่านั้น เป็นคำที่ทุกคนควรพูด ไม่ควรพูดคำเท็จ พูดคำจริง เบาสบาย ไม่เหนื่อย ไม่ต้องไปคิดหาเรื่องมาเพื่อพูดไม่จริงกับคนอื่น

* อย่าคิดว่า อกุศล เล็กน้อย เพราะจากเล็กๆ น้อยๆ นี้แหละ ในที่สุดก็จะใหญ่โตมากขึ้น

* สิ่งใด ที่ไม่ดี ที่เรามี แล้วมีคนคอยบอกคอยเตือนให้รู้ คนๆ นั้น จะเป็นผู้มีพระคุณกับเรามากทีเดียว

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๒

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

- เพราะอาศัยการฟัง พฤติกรรมทางกาย ทางวาจา ส่องถึงความเข้าใจธรรม ฟังแล้วโกรธไม่เกิดอีกเลย เป็นไปไม่ได้เพราะไม่ใช่พระอนาคามี ฟังแล้วยัง ผูกโกรธ หรือว่าโกรธเกิดน้อยลง หรือเห็นโทษของความโกรธมากขึ้นว่า ทุก วันมีอกุศลมากอยู่แล้วยังเพิ่มขึ้นอีกทำไม เพราะฉะนั้นประโยชน์ คือ ไม่ หลงลืมโทษของอกุศล เมื่อความเข้าใจมั่นคงอกุศลจะค่อยๆ ละคลาย

- บุคคลฟังธรรมแล้วรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้จากปุถุชนเต็มขั้น เพราะสะสมปัญญา เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ ปรากฏเดี๋ยวนี้ ลักษณะเป็นอย่างหนึ่ง เป็นอื่นไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เข้าใจแต่ละ ลักษณะเพิ่มขึ้นทีละน้อย เพราะอาศัยการฟัง และเห็นค่าสูงสุดของปัญญา

- แก้ว แหวน เงิน ทอง คิดว่ามีค่า แต่ก็ทำให้เกิดความทุกข์ แต่สิ่งที่มีค่าแท้จริง คือ สิ่งนั้นไม่ทำให้เกิดความทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น ความลึกซึ้งของสิ่งนั้น คือ เหนือสิ่งอื่นใด ที่มีค่าเสมอพระรัตนตรัยไม่มี ทุกวันนี้สะสมสิ่งอื่นที่ไม่มีค่าแล้ว เข้าใจว่ามีค่าหรือไม่ เพราะถ้าสิ่งนั้นทำให้เกิดโลภะ โทสะ แล้วค่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน

- ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เห็นโทษของอกุศล แต่ลืมว่า อกุศลหรือกุศลไม่ใช่เรา มุ่งมั่นแต่เพียงว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีปัญญามากๆ หรือหมดกิเลส แต่ไม่มี เหตุใดๆ ทั้งสิ้น คือ ลืมว่า ขณะนี้ทุกอย่างเป็นธรรมลืมว่า ถ้ามีปัญญาความเห็นถูก จะนำไปสู่ทางถูกโดยตลอด ถ้าโกรธเกิดไม่ใช่ให้หยุด แต่รู้ว่าเป็นธรรม

- เมตตา ความหวังดีเกื้อกูล เป็นมิตรทันที ให้อภัยได้ทันที ใจไม่เป็นทุกข์ทันที ง่ายกว่าโกรธ เพราะโกรธต้องหาเรื่อง ผูกโกรธ ย้อนคิดความโกรธอยู่ที่ตัวเอง ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น เมื่อโกรธเกิด ก็ประทุษร้ายใจตนก่อน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่อาจสะสมเมตตา อกุศลที่มีกำลังทำสิ่งที่ทำได้ยาก คือ ฆ่า เบียดเบียน ประทุษร้าย ถ้าปัญญาไม่มีกำลัง ไม่อาจทำให้อกุศลที่เกิดบ่อยๆ ไม่เกิด ถ้าชาตินี้เมตตาเกิด ไม่ได้ ชาติหน้าเมตตาก็น้อยมากเหมือนไม่มี แม้คิดว่ามี แต่อาจเป็นโลภะก็ได้ รักญาติ พี่น้อง ถ้าเมตตาแล้วต่างกันมาก เพราะไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีใคร เป็นธรรมที่เสมอกัน

- เมื่อมีการเริ่มเข้าใจจะมากหรือน้อยก็ตาม แม้ในขั้นการฟัง ขณะนั้นเริ่มละ ความไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วไม่มีเรา เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน เสียงเป็นเสียง เริ่มที่จะรู้ว่า ธรรมมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง เพราะความเข้าใจมีมากขึ้น ก็ ละความต้องการ เมื่อนั้น สัมมาสติ มีปัจจัยจึงเกิดรู้ลักษณะเฉพาะลักษณะนั้น แล้วก็ดับ เป็นอนัตตา เริ่มรู้ตามความเป็นจริงว่า มีเฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้น สิ่งอื่น ไม่มี โลกก็ไม่มี โต๊ะ เก้าอี้ คนหนึ่งคนใดก็ไม่มี มีเฉพาะลักษณะของสภาพ ธรรมที่ปรากฏที่เป็นธรรม แล้วก็ดับ

- คนกล้าที่แท้จริง คือ คนไม่โกรธตอบ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 29 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 30 ธ.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
thilda
วันที่ 31 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 31 ธ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

...อกุศลทั้งหลาย มาจาก "ความไม่รู้" ทั้งสิ้น...

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน

สวัสดีปีใหม่ ปีแห่งโอกาสในการ

"ทำดี และ ศึกษาพระธรรม"

ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 1 ม.ค. 2557

ความสวัสดี คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
raynu.p
วันที่ 1 ม.ค. 2557

กราบอนุโมทนาค่ะ

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 2 ม.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 3 ม.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kinder
วันที่ 3 ม.ค. 2557
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 5 ม.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 7 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ