พื้นฐานพระอภิธรรมตอนที่ 536

 
papon
วันที่  23 ก.ย. 2556
หมายเลข  23677
อ่าน  915

ฟังพระอภิธรรมพื้นฐานมาถึงตอนที่ 536 ท่านอาจารย์บรรยายเกี่ยวกับรูปเกิดดับ

เร็วมาก จนเกิดเป็นนิมิต แล้วบัญญัติและสัญญา สัมพันธ์กันมาอย่างไรครับ ขอความ

อนุเคราะห์จากอาจารย์ทั้งสองท่านด้วยครับ ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่ง เป็นสังขารธรรม คือ มีปัจจัยปรุงแต่ง

จึงมีเหตุให้เกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นแม้รูปที่เกิดดับ

เท่ากับ จิตเกิดับ 17 ขณะ ก็ยังมีกาเรกิดดับอย่างรวดเร็ว สุดจะประมาณได้

ในความเป็นจริง ขณะนี้ ที่เห็น เป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งต่างๆ ก็คือ บัญญัติ เรื่องราว

ก็เพราะ มีการเกิดดับของรูปธรรม และ นามธรรม เพราะ อาศัยการสืบต่อของสี ที่เป็น

รูปารมณ์ ที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว จึงเกิดนิมิต ที่เป็นเครื่องหมายรู้ ที่เป็นบัญญัติ ที่เห็น

เป็นสัตว์ บุคคล เปรียบเหมือนการแกว่งก้านธูป ที่เมื่อยังไม่แกว่ง ก็ปรากฎแสงเพียง

จุดเดียว หากมีการแกว่งอย่างรวดเร็ว ก็ปรากฎ แสง เป็นวงกลม นี่ก็เป็นนิมิต ที่ปรากฎ

เพราะอาศัยการเกิด การแกว่งอย่างรวดเร็ว ฉันใด เมื่อรูปธรรม มีสี เป็นต้น ที่มีการเกิด

ดับอย่างรวดเร็ว มีการรู้สี สิ่งที่ปรากฎ อย่างรวดเร็ว และอาศัยใจที่คิดนึกก็ปรากฎ เป็น

นิมิต ให้เห็น เป็น รูปร่าง สัณฐาน เป็นคน เป็นสัตว์เท่านั้น หากแต่ว่าถ้าปัญญาเกิดรู้ทัน

ในการเกิดขึ้นและดับไปของ สีแต่ละขณะ ที่จิตกำลังรู้สี ย่อมเห็นสี แต่ละขณะที่เกิดขึ้น

ย่อมไม่เห็น เป็นสัตว์ บุคคล แต่ รู้ลักษณะของสภาพธรรมทีละขณะ ย่อมไถ่ถอนความ

เห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลได้ แต่เมื่อมีการเกิดขึ้นของรูปธรรมอย่างรวดเร็ว ปัญญาไม่

เกิด แล้วก็เห็นเป็นสัตว์ บุคคล ที่เป็นนิมิตต่างๆ แล้วก็จำ เกิดสัญญาเจตสิก จำหมาย

รู้ใน นิมิต บัญญัติเรื่องราวนั้น เป็นเหตุปัจจัยให้ เมื่อเห็นหรือได้ยินเสียง นิมิตอย่างนั้น

อีก ก็รู้ได้ว่า เป็น พี่ของเราเป็นญาติของเรา ชื่อนี้ เป็นต้น เพราะอาศัยสัญญาที่จำนิมิต

ที่เป็นเรื่องราว ครับ นี่คือ ความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันระหว่าง การเกิดดับของรูปธรรม

อย่างรวดเร็ว นิมิตและ สัญญา ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ถ้าเปรียบเป็นภาพยนต์นิมิตเหมือนภาพนิ่งที่มาต่อกันอย่างรวดเร็วเป็นภาพ

เคลื่อนไหวเป็นเรื่องราวคือบัญญัติ ใช่ไหมครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ถูกต้อง ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
asp
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอสนทนาด้วยนะครับ

อ.paderm กล่าวว่าถ้าปัญญาเกิดรู้ทัน ในการเกิดขึ้นและดับไปของ สีแต่ละขณะ

ที่จิตกำลังรู้สี ย่อมเห็นสี แต่ละขณะที่เกิดขึ้น ย่อมไม่เห็น เป็นสัตว์ บุคคล แต่ รู้ลักษณะ

ของสภาพธรรมทีละขณะ

ผมมั่นใจครับว่าท่านที่มีปัญญารู้ได้ขนาดนี้มีจริงแน่ แต่ขอสอบถามว่า ทุกนาม-

ธรรมที่ปรารถนาก้าวผ่านความไม่รู้ จะต้องมีปัญญารู้ขนาดนี้เลยหรือ (ทีละขณะ) เพราะ

พระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลทุกพระองค์ก็มีปัญญาไม่เท่ากัน

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

การดับกิเลส เป็นเรื่องยาก และ ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้แต่การเห็นการเกิดดับ

ก็ต้องมีความละเอียด จึงจะดับ ละกิเลสได้ ซึ่งการจะได้ถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็

ต้องเห็นการเกิดดับของสภาพธรรม อย่างถ่องแท้ ตามความเป็นจริง ในขณะที่สภาพ

ธรรมนั้นกำลังเกิดและดับ เพราะฉะนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า วิปัสสนาญาณ ในขั้นที่ 3 คือ

สัมมสนญาณ ก็เห็นการเกิดดับของสภาพธรรม แต่ ยังไม่ละเอียดเพียงพอ ดังนั้น

ปัญญาจึงจะต้องรู้ชัดในความเกิดดับของสภาพธรรมแต่ละขณะ มากขึ้นไปอีก ที่คมชัด

คมกล้า แต่ละขณะที่เกิดขึ้น จึงมี วิปัสสนาญาณขั้น ที่ 4 คืออุทยัพพยญาณ ที่เห็นการ

เกิดดับของสภาพธรรมแต่ละประเภท แต่ละขณะที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ อันเป็นเหตุ

ให้เกิดปัญญาในขั้นต่อไปได้ ที่เห็นภัย เห็นโทษของการเกิดดับของสภาพธรรม หาก

เข้าใจ เห็นการเกิดดับเพียงเล็กน้อย ย่อมไม่สามารถเห็นโทษ เห็นภัยได้เลย เพราะ

ฉะนั้น จึงแสดงความละเอียดของการเห็นการเกิดดับอย่างละเอียดขึ้น จากวิปัสสนา-

ญาณขั้นที่ 3 ที่เห็นการเกิดดับแต่ยังไม่ละเอียด จนถึงเห็นการเกิดดับที่ประจักกษ์ชัด

ละเอียดขึ้น ใน วิปัสสนาญาณขั้น 4 แต่ละขณะที่เกิดขึ้น ครับ ดังนั้น พระอริยบุคล ทั้ง

หลาย ก็ต้องเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมอย่างละเอียด จึงจะถึงการดับกิเลสได้

เพียงแต่ว่า ใครจะเห็นได้ละเอียดมากกว่ากันเท่านั้น ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
asp
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอบคุณมากครับที่ให้ความกระจ่าง

และที่กล่าวว่าใครจะเห็นได้ละเอียดมากกว่ากันเท่านั้น ละเอียดมากกว่ากันอย่างไรครับ

เพราะทีละขณะก็ละเอียดที่สุดแล้วนี่ครับ จะมีอะไรละเอียดกว่านี้หรือครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 7 ครับ

แต่ ละขณะ ตลอดวิถี หลายๆ วิถีจิตติดต่อกันไป หรือ เพียงวิถีจิตเดียวก็ได้ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
asp
วันที่ 25 ก.ย. 2556

* * ข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเอง ถูกผิด ก็แนะนำได้นะครับ เพราะเคยสงสัยว่า

ทำไมสัณฐานที่ปรากฎในชีวิตประจำวันจึงไม่แหว่งหายไป * *

วรรณะรูปที่ปรากฎในคลองจักษุขณะนี้ ย่อมมีทั้งอิษฐารมณ์ และอนิษฐารมณ์ปนกัน

สำหรับท่านที่มีปัญญาละเอียดมากย่อมปรากฎไม่เป็นสัณฐานต่อปัญญาท่่าน เพราะ

ขณะที่เป็นอกุศลวิบากจิตเกิดขึ้นรู้วรรณะรูปที่อยู่ในคลองจักษุขณะนั้น วรรณะรูปที่

เป็นอนิษฐารมณ์เท่านั้นที่ปรากฎต่อจักขุวิญญาณอกุศลวิบาก แต่ขณะที่เป็นกุศล

วิบากจิตเกิดขึ้นรู้วรรณะรูปที่อยู่ในคลองจักษุขณะนั้น วรรณะรูปที่เป็นอิษฐารมณ์

เท่านั้นที่ปรากฎต่อจักขุวิญญาณกุศลวิบาก แต่จากการพูดเล่นๆ แต่จริงๆ อาจมากกว่า

ว่า ชั่วลัดนิ้วมือเดียวจิดเกิดดับแสนโกฎิขณะ และในแสนโกฎิขณะนั้น ก็มีทั้งกุศล

วิบากจิตและอกุศลวิบากจิด (เอาเฉพาะที่เกิดทางจักขุปสาท เท่านั้น) เกิดดับสลับ

กันอยู่ไม่ใช่น้อย ก็เลยเกิดเป็นสัณฐานที่ไม่แหว่งหายไป เพราะในชีวิตประจำวัน

สัณฐานที่เกิดจากการเกิดดับของปรมัตถธรรมไม่ปรากฎว่าแหว่งหายไป เช่นขณะ

ที่เห็นสีสันของบัญญัติดอกไม้ที่สวยงามอยู่ข้างกองสีสันบัญญัติว่าอุจจาระ ก็เห็นสี

ทั้งหมดพร้อมกันโดยไม่แหว่งหายไป

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 25 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม นิมิต บัญญัติ

เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่มี และทุกขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็มีสัญญา ความจำหมายใน

อารมณ์เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ถ้าเราไม่เคยฟังเรื่องจิต เรื่องปรมัตถธรรม เรื่องเกิดดับ

จะไม่เข้าใจอะไรเลย ก็มีการยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความไม่รู้

การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก ประมาณไม่ได้เลยก็ทำให้เห็นเป็นสิ่งที่สืบต่อ

จนกระทั่งเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะฉะนั้นจากการได้ฟังได้ศึกษาใน

เรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ก็จะมีความเข้าใจขึ้นว่าแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏใน

ขณะนี้ ความจริงมีอะไรเป็นของจริง ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดปรากฏเป็น

ไปทางตาหูจมูกลิ้น กายใจ นั่นเอง เกิดปรากฏเป็นอย่างนี้ได้เพราะเหตุปัจจัย

ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 25 ก.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 9 ครับ

แม้ผู้มีปัญญามาก ก็มีทั้ง วิถีจิตทางปัญจทวาร และ ทางมโนทวาร ผู้มีปัญญา

จึงเห็นเป็นนิมิต เป็นรูปร่าง สัณฐานด้วย แต่ ปัญญาของท่าน สามารถเกิดระลึกรู้

ในขณะที่ยังเป็นพียงปรมัตถธรรม ที่ยังไม่ใช่รูปร่าง สัณฐานได้ ครับ

ส่วน การเห็น ที่เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบาก ตามที่กล่าวมาถูกต้องแล้ว และ แสดง

ถึงวิถีจิต การเกิดดับของจิตที่รวดเร็ว ก็ถูกต้องเช่นกัน ส่วนเพราะอาศัยการเกิดดับ

สลับกันของจิตอย่างรวดเร็ว จึงปรากฎ เป็นรปร่างสัณฐาน ขึ้นว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็น

สิ่งต่างๆ แต่ ขณะที่เพียงเห็น เห็นเพียง สีเท่านั้น ซึ่งก็แล้วแต่ว่า จะเป้น สี ที่เป็น รูป

ที่ดี เป็นกุศลวิบากหรือไม่ ก็แล้วแต่กรรม ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
papon
วันที่ 23 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ