คนปฏิบัติธรรม ต้องเลิกเชียร์กีฬาทีมชาติไหมครับ

 
เสือ
วันที่  21 ก.ย. 2556
หมายเลข  23667
อ่าน  1,033

อย่างวันนี้วอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติไทย จะชิงแชมป์เอเชีย กระแสทีวี กระแสในอินเตอร์เนท แรงมาก เราก็คล้อยตามไป จะเปิดทีวีดูตอนหก โมงเย็นมันเหมือนเป็นคนไทยหรือเปล่า ทำไมไม่ส่งแรงใจช่วยทีมชาติไทยให้ ชนะเค้าแต่พอเชียร์แล้ว จิตมักปั่นป่วน เวลาฝ่ายไทยตีบอลเสีย เสริฟพลาด รับไม่ได้ หรือแม้แต่ช่วงที่คะแนนเท่าๆ กัน แล้วชิงกันชนะ หัวใจก็เต้นแรง จิตใจก็ปั่นป่วนอยาก ให้ชนะ แต่ถ้าพลาดแพ้ก็จะเสียใจ ถ้าชนะจิตก็เพลิดเพลิน แบบนี้คนที่ปฎิบัติธรรม จริงๆ ไม่ปฎิบัติแบบทำบ้างไม่ทำบ้าง ต้องเลิกเชียร์กีฬา หรือเปล่าครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แม้คำที่กล่าวถึง คือคำว่า ปฏิบัติธรรม คือ อะไร ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติ แต่ต้องเป็นการเข้าถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลัง ปรากฏด้วยสติและปัญญาพร้อมกับโสภณธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าหากว่าไม่มีพื้นฐานที่สำคัญตั้งแต่ขั้นของ การฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แล้ว ก็ไม่สามารถมีความเข้าใจ ถูกเห็นถูกในขั้นที่เป็นปฏิบัติธรรม ได้เลย สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จริงๆ ที่นี้ก็กลับมาที่ประเด็นเรื่องเชียร์กีฬา จะเห็นได้ว่าโลภะ ความติดข้องต้องการ ไม่เกิดเฉพาะตอนไปเชียร์กีฬา ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน ก็ไม่พ้นไปจากโลภะ ความติด ข้องต้องการ มีเป็นปกติประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนมาแล้ว แล้วจะละได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่ได้มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับความยินดีพอใจในกาม ได้อย่างเด็ดขาด บรรลุถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความยินดีพอใจในสิ่งเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นมีเป็น ธรรมดา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สภาพธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แม้ใน ขณะที่กำลังเชียร์กีฬา ก็มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป สภาพธรรมต่างๆ ก็มีพร้อมที่จะ ให้เราได้เข้าใจ พร้อมที่จะให้ได้รู้ชัด พร้อมที่จะให้ประจักษ์แจ้งได้ ที่สำคัญ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก อันเริ่มมาจากการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิต ประจำวัน สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิด ไม่มีตัวตนที่จะไปละกิเลส และประการที่สำคัญแต่ละบุคคลที่เป็นปุถุชนย่อมมากไป ด้วยกิเลส สะสมมาอย่างมากมายในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะละให้หมดสิ้นไปในทันที ทันใด ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ยังไม่สามารถละโลภะ ได้ จะต้องละความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลก่อนโดยอาศัยการอบรมเจริญ ปัญญา ซึ่งเป็นทางเดียวจริงๆ ที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลสไปตามลำดับ

แต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าของการ อบรมเจริญปัญญา เห็นว่าสิ่งใดก็ตามที่เสพคุ้นมากๆ จะทำให้เกิดอกุศลเพิ่มมากขึ้น ท่านก็ไม่เข้าใกล้สิ่งเหล่านั้น จะให้เวลากับพระธรรม ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็เป็นไปตามการสะสม ไม่มีการบังคับ ไม่มีกฏที่ตายตัว ประการ ที่สำคัญที่สุด ขอเพียงเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่ขาดการฟัง ความเข้าใจ ถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น มีปัญญาเป็นที่พึ่ง และเมื่อมีปัญญาเป็นที่พึ่งแล้ว ปัญญาก็ทำกิจของปัญญา ทุกที่ทุกสถานการณ์ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

หากเข้าใจความจริงว่า ปัญญา ที่เป็นการปฏิบัติธรรมรู้อะไร ก็จะตอบข้อสงสัยต่างๆ รวมถึงประเด็นนี้ได้จนหมดสิ้น เพราะ ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรา ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมที่ ปฏิบัติหน้าที่รู้ความจริง ความจริงของอะไร ก็คือ ธรรม รู้ตัวลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกช์ และ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา นั่นเอง ดังนั้นเมื่อ เป็น สติและปัญญา ที่ทำหน้าที่ปฏิบัติรู้ความจริง และ ปัญญาที่รู้ความจริง ก็รู้ธรรมที่ มีในขณะนี้ เพราะ ขณะนี้มีธรรมให้รู้ ขาดแต่ปัญญาที่ไม่เกิดรู้ ดังนั้น ธรรมมีอยู่แล้วใน ชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก โลภ โกรธ หลง เมตตา กุศลจิต เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นธรรม เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ขณะที่ดูทีวี ดูกีฬา ใครดู ใครเห็น เห็นมีจริง ก็เป็นธรรมที่ทำหน้าที่ คือ มีจิตเห็นเกิดขึ้น และ จึงมีการนึกคิดเป็นรูปร่าง สัณฐาน เป็น สัตว์ บุคคล และปรุง แต่ง เป็น ทีมช่าติไทย ทีมชาติญี่ปุ่น มี ลูกกลมๆ ลอยไปลอยมา ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นจาก ธรรม ที่เป็นสิ่งที่ปรกาฎทางตา มี สี เป็นต้น มีการได้ยินเสียง และ นึกคิดเป็นคำว่า ทีม ได้แต้ม เสียแต้ม เป็นต้น ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรม และ ปรุงแต่ง เกิดความดีใจที่เป็น เวทนาเจตสิก และ ตื่นเต้น ที่เป็นโทสะมูลจิต ในขณะนั้น ที่เป็นอกุศลจิต ซึ่งที่กล่าวมา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็ควรรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราเพราะอกุศล อวิชชา ความไม่รู้ และ ความเห็นผิด ทำให้ยึดถือว่า เป็นเราที่ดีใจ เป็นเราที่ตื่นเต้น เป็นเราที่ดู อยู่ เป็นเขา เป็นสัตว์ บุคคล ที่เป็นการยึดถือที่ผิด เพราะ จริงๆ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่ ธรรม จึงควรอรมปัญญา ที่จะรู้ความจริงในชีวิตประจำวัน การปฏิบัติธรรมจึงเป็นปัญญา ที่รู้ความจริงในชีวิตประจำวัน แม้แต่ขณะที่ดูกีฬา ก็มีธรรม ที่ควรจะรู้ความจริงว่าเป็น แต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้นปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่ จะต้องไปแสวงหาสถานที่สงบ แยก ออกไปจากชีวิตประจำวัน เพราะ แม้ไปหาสถานที่ ก็แสดงว่า ขาดความเข้าใจขั้นการ ฟังที่ถูกต้องแล้ว ว่าธรรมกำลังมีในขณะนี้ เมื่อขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง ไปแสวงหา สถานที่สงบและพยายามไปนั่งสมาธิ ก็ไม่มีปัญญาที่จะรู้ได้เลย เพราะเริ่มจากความ เข้าใจผิดขั้นการฟัง เพราะผู้ที่เข้าใจถูกแล้ว ย่อมไม่ไปนั่ง หรือ แสวงหาที่สงบเงียบ แต่ แสวงหาปัญญา เพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม เมื่อ ปัญญาถึงพร้อม ปัญญาก็เกิดรู้ความจริงของธรรม แม้อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะที่ตื่นเต้น ว่าไม่ใช่เราที่ตื่นเต้น เป็นแต่เพียงธรรมที่เป็นอกุศลจิต หากชนะและดีใจที่ทีมไทยชนะ สามเซตรวด ขณะที่ดีใจ ก็รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา เป็นเพียง เวทนาความรู้สึก เท่านั้น นี่คือ การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำ แต่ เป็นเรื่องที่เข้าใจ ว่าจะอบรมปัญญาอย่างไร ให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ ซึ่งมีหนทาง เดียว คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ ดังนั้น ปัญญาเกิดได้ ทุกที่ ทุก สถาน เพราะ ล้วนแล้วแต่มีธรรมปรากฎให้รู้ได้ ครับ แม้แต่ ขณะที่ดูกีฬา แข่งกีฬา

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Jans
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tee
วันที่ 22 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Parinya
วันที่ 22 ก.ย. 2556

ขอร่วมสนทนาด้วยครับ

เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ผมอยู่ต่างประเทศ ผมชอบดูการแข่งขันกีฬามาก เช่นชอบดู Tennis, basketball, baseball, American football (NFL) สรุปแล้ว เขามีกีฬาให้ ดูอย่างมากมาย ยิ่งถ้าเป็นบ่ายของวันเสาร์ และวันอาทิตย์ กีฬาดังกล่าวมีให้ดูตลอด ผมชอบดู ชอบเชียร์ทีมที่ชอบแต่ไม่เล่นการพนัน สาเหตุที่ทำให้ผมเบื่อการดู ก็เพราะ ความไม่แน่นอนของกีฬาถ้ามีฝ่ายหนึ่งชนะ ก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งแพ้ เมื่อฝ่ายที่ผมเชียรแพ้ วันนั้นผมก็เป็นทุกข์ นำเรื่องของการแพ้และชนะมาคิด จนจิตไม่ว่างมีแต่ความเศร้า หมอง คนอยู่ใกล้ก็ไม่เป็นสุข อยู่มาวันหนึ่งผมคิดได้ว่า ถ้าผมมัวแต่หลงดูกีฬาตื่นเต้น กับทีมที่ตนชอบ ผลเสียก็คือความไม่สบายใจและความทุกข์ก็เกิดขึ้น พอเลิกดูก็มีเวลา ไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์อีกมากมาย แต่ก็มิใช่เลิกดูเป็นเด็ดขาด ผมก็ยังดูกีฬา ระดับชาติอยู่ แต่เป็นการดูความสามารถของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย เช่นการเลี้ยงหลบคู่ต่อ สู้ การทำประตูด้วยความสามารถที่ฝึกมาอย่างยอดเยี่ยม หรือผู้รักษาประตูสามารถ ป้องกันประตูได้ เมื่อจบการดูก็ไม่ไปสนใจกับคะแนนของทั้งสองฝ่าย ใจก็ไม่โอนเอียง ไปกับนักกีฬา

แต่พอผมมีโอกาสมาศึกษา พระธรรมที่มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผมก็เห็น ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมมากขึ้น

ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา

ปริญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 22 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ระหว่างอยากชื่อว่าเป็นคนปฏิบัติธรรมกับเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ แตกต่างกัน เหมือน อยากจะเป็นคนดี (ยังไม่ดี) กับการเป็นคนดีย่อมแตกต่าง ถ้าอยากปฏิบัติธรรมแต่ไม่รู้ว่า ปฏิบัติธรรมคืออะไรและอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม จะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร คลิกอ่าน.ไปปฏิบัติธรรม ถ้าอ่านความคิดเห็นที่ 5 และประสบการณ์ของตนเอง ความรู้ความเข้าใจธรรมะมากขึ้น เป็นเหตุที่สามารถแยกแยะอะไรดีหรือไม่ดี และอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ.โดยไม่มีใครห้ามหรือบังคับ ทำได้มากหรือน้อย เป็นไปตามคำที่อยู่ในพระธรรมที่เรียกว่าปัญญา ค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 24 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ