การปรามาสพระรัตนตรัย

 
surat
วันที่  21 ก.ค. 2556
หมายเลข  23224
อ่าน  10,942

กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ การปรามาสพระรัตนตรัยนั้น กระทำอย่างไรถึง เข้าข่ายครับ ผมเคยคิดตำหนิพระสงฆ์บางรูป เช่น ปักหลังยืนรับบิณฑบาตอยู่ตาม ตลาด หรือบางรูปผมดำไม่ปลงผม บางครั้งหนวดขึ้นจนเห็นได้ บางรูปไม่ สำรวมตามพระวินัย อย่างนี้ผมเข้าข่ายปรามาสหรือเปล่าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจ พระรัตนตรัยก่อนครับว่า คืออะไร พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ซึ่ง พระพุทธเจ้า ก็คือ ผู้ที่ตรสรู้ชอบ ได้ด้วยพระองค์เองแล้ว แสดงธรรมให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วย ส่วน พระธรรม คือ คำสั่งสอนที่พระพุทเจ้าทรงแสดง อันเป็นธรรมที่กล่าวไว้ดีแล้ว เป็นสัจจะ ความจริงที่เป็น วาจาสัจจะ ครับ

พระสงฆ์ ไม่ได้หมายถึงตัวบุคคล แต่ หมายถึง พระอริยสงฆ์ ที่เป็นสงฆ์โดย ปรมัตถ คือ ผู้ที่บรรลุธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นต้น ครับ

ดังนั้น รัตนตรัย รัตนที่ประเสริฐ ก็ต้องประกอบด้วยคุณงามความดีที่ประเสริฐ จึงจะเป็นรัตนได้ ครับ

การปรามาสที่เป็นการติเตียน และ ลบหลู่ในพระรัตนตรัย ก็จะต้องเกิดจาก อกุศลจิต ที่เป็นจิตที่ไม่ดี และลบหลู่ ติเตียน ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว และ ในพระสงฆ์ คือ ผู้ที่ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบแล้ว ชื่อว่า ปรามาสในพระรัตนตรัย ครับ

หากมีเจตนาที่กล่าว ว่าร้าย ในพระอริยสงฆ์ เช่น ท่านพระสารีบุตร เป็นต้น หรือ ผู้ที่ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ แม้เป็นคฤหัสถ์ ก็ชื่อว่า ติเตียน ปรามาส พระรัตนตรัยที่เป็น สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยการแสดงออกมาทางกาย และ วาจา หากว่า เป็นการติเตียน เพ่งโทษในใจ ในภิกษุบุคคล ที่ปฏิบัติตน ไม่ดี ไม่ใช่ ภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติชอบ ก็ไม่ชื่อว่า ถึงกับปรามาสพระรัตนตรัย ที่ เป็นการปรมาส ติเตียน สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เพราะ ไม่ได้มีกำลังถึง กับแสดงออกมาทางกาย และวาจา และผู้ที่เราคิดไม่ดีก็เป็นผู้ปฏิบัติไม่ดี ครับ โทษจึงไม่ได้มีกำลัง และไม่ได้เป็นการติเตียนพระรัตนตรัยตามที่กล่าวมา ครับ ที่สำคัญ อกุศลเกิดแล้วย่อมไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดกับใครแต่อย่างไรก็ดี ประโยชน์ ไม่ได้อยู่ที่ เมื่อไม่มีผล ก็จะไม่เป็นไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ควรจะเห็นโทษ ในการกระทำแม้ทางใจ ที่เป็นอกุศล และสำรวมระวังต่อไป และเป็นผู้เห็นโทษ ในอกุศล ในกิเลสที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา ก็ทำบาปมา มากมาย ซึ่งย่อมอาจะมีกับพระรัตนตรัยด้วย จึงควรจะมีโอกาสที่จะขอขมา พระรัตนตรัย ในบางครั้ง บางโอกาสที่สมควร โดยการกล่าว หรือ คิดในใจ ด้วยเจตนาขอโทษ

ขอขมาว่าบุญใดอันข้าพเจ้า ผู้ไหว้พระรัตนตรัย ได้ประกอบแล้วในทวีปนี้ ด้วยเดชะบุญนั้น ขออันตรายคือความเห็นผิด จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้ากรรม อันน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินแล้ว ต่อพระพุทธเจ้าพระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ได้โปรดอดโทษแก่ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ สำรวมระวังในพระรัตนตรัย ในกาลต่อไป


ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ

ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นความชัดเจน ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไร ก็ควรที่จะ ให้ได้เข้าใจกระจ่างเท่าที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น คุณบุษกรก็คงคิดถึงว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ปรินิพพานแล้ว แล้วเราจะไปขอขมาอะไรอย่างนี้ ก็ดูเหมือนว่า แล้วจะหายหรือ ที่เราได้กระทำไป ขอขมา แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้กระทำกรรมแล้ว ถึงแม้คนอื่นจะยกโทษ แต่กรรมนั้นก็ยังเป็นเหตุให้เกิดผล ถูกไหมคะ? เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม โดยเฉพาะการที่จะกล่าวคำขอโทษ หมายความว่า คนนั้นต้องรู้สึกตัวจริงๆ ว่าทำสิ่งที่ผิด เพราะว่าไม่ควร เพราะฉะนั้น บางคนรู้ตัวว่าผิด ขอโทษไม่ได้ไม่ได้เลยค่ะ ทั้งๆ ที่ผิด ก็ไม่ยอมที่จะขอโทษ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีกุศลจิต ไม่ละอายในอกุศลที่ได้กระทำแล้ว ต่อสิ่งที่เป็นพระรัตนตรัยหรือว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เกิดกุศลจิต นอบน้อมต่อผู้ที่เราขอขมา เป็นการแสดงความเคารพ ความนอบ-น้อมนั่นเองค่ะ

เราจะไม่ขอโทษคนที่เราเห็นว่าเขาไม่สมควรใช่ไหมคะ บางคนอาจจะเป็นคนที่ร้าย และเป็นอกุศลมากๆ ทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ตามความเป็นจริงๆ " เรื่องของเขาก็คือเรื่องของเขา " เรื่องของเรา ก็คือ เราขอโทษได้ไหม เมื่อกระทำผิด ถ้าขอโทษได้ ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต ซึ่งไม่ใช่ความมานะ สำคัญตน แต่สามารถจะเห็นว่า ขณะนั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะกระทำ และได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น พร้อมที่จะขอโทษสิ่งที่เราได้ทำ ไม่ว่าเขาเป็นใคร เพราะเราทำผิด แต่ถ้าเราไม่ได้กระทำผิด ไปขอโทษอะไร เพราะเราไม่ได้กระทำผิด

เพราะฉะนั้น เวลาที่มีความเข้าใจว่า ได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นการล่วงเกิน ในปัจจุบันชาติ หรือชาติก่อนๆ จะรู้ หรือ โดยไม่รู้ หรือโดยประมาท ฟังธรรมโดยไม่เคารพ -- แสดงความเคารพพอที่จะมีต่อพระผู้มีพระภาคหรือเปล่า โดยกล่าวคำขอขมาในเรื่องแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดก็ตามแต่นะคะ ก็แสดงให้เห็นถึงความเคารพอย่างยิ่งในบุคคลซึ่งแม้เพียงเล็กน้อยที่เราได้ไม่ประพฤติตาม ว่ากระทำสิ่งที่ไม่สมควร เราก็สามารถจะกล่าวคำขอขมาได้ เพราะฉะนั้น เวลาที่เราอยู่ ณ สถานที่ๆ สมควรจะขอขมา ก็เป็นโอกาสที่จะได้ระลึกถึงสิ่งที่ไม่สมควรกระทำต่อพระรัตนตรัย แต่ไม่ได้หมายความว่า กรรมที่ได้กระทำแล้วจะหมดไป โดยมีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถที่จะเว้นยกโทษนั้นไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเมื่อมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ต้องเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น แต่ก็เป็นการแสดงความเคารพอย่างยิ่ง ต่อบุคคลซึ่งแม้เพียงความผิดเล็กน้อยก็ไม่สมควรที่จะไม่กระทำต่อ.... นั่นคือพระรัตนตรัย

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
surat
วันที่ 22 ก.ค. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 22 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคนที่ยังมีกิเลส ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด โอกาสที่จะทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกไม่ควร ก็ย่อมมีได้ด้วยกันทั้งนั้น เป็นที่น่าพิจารณาว่า ควรหรือที่จะไปกระทำ ในสิ่งที่ไม่ควรแก่ผู้นั้น จะด้วยการเข้าไปด่าว่า แสดงความไม่พอใจในลักษณะต่างๆ เป็นต้น เพราะขณะนั้นกำลังสะสมเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลย แม้แต่น้อย แต่ถ้าได้ผิดพลาดกระทำในสิ่งที่ไม่ควรลงไปแล้ว ถ้ามีความจิงใจเห็น โทษโดยความเป็นโทษ พร้อมที่จะน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีต่อไป อย่างนี้ย่อมถูกต้อง เป็นไปเพื่อความเจริญในกุศลธรรม ยิ่งขึ้น เพราะสามารถเริ่มต้นใหม่ด้วยกุศลธรรม ตั้งใจใหม่ ที่จะไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดีอย่างนั้นอีก และอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมอง ข้าม คือ เมื่อได้เผชิญหน้ากับคนไม่ดี ประโยชน์คือ มีเมตตา ไม่โกรธในบุคคลนั้น และมีทางใดที่จะช่วยเหลือเขาได้ ก็ควรช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เขาได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ถูก คือพระธรรม ดีกว่าจะไปโกรธหรือกระทำในสิ่งที่ไม่ควรแก่ผู้นั้น

จึงสรุปได้ว่า แม้เพียงความผิดเล็กน้อย ก็ไม่ควรที่จะกระทำ ไม่ว่าจะต่อใครก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรเลยที่จะกระทำผิดต่อพระรัตนตรัย แต่เมื่อพลาดพลั้งไปแล้ว ก็ควรที่จะขอโทษ หรือขอขมา แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยความตั้งใจที่จะไม่กระทำผิดอย่างนั้นอีกต่อไปครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 22 ก.ค. 2556

ติเตียนในใจเป็นเพียงอกุศลจิต ยังไม่ได้ล่วงออกมาเป็นวจีทุจริต ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 22 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 22 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nopwong
วันที่ 23 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 15 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ