การปฏิสนธิมาอยู่ในตระกูลเดียวกันโดยสภาพของจิตคล้ายๆกันใช่หรือไม่

 
nongnooch
วันที่  23 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23080
อ่าน  1,112

เพราะเนื่องด้วยที่ดิฉันได้ฟังธรรมและได้ศึกษาสภาวของจิตจากท่านอาจารย์สุจินต์ แต่ยังไม่ถึงขั้นละเอียดลึกอะไรมากนักแต่ดิฉันก็ได้น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม ก็เกิดผลตามสภาวนั้นๆ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งมีเรื่องลูกของเพื่อนเข้ามากระทบหู และก็ได้พิจารณาสภาพนั้นอยู่ๆ จิตเกิดระลึกลักษณะว่าครอบครัวนี้มีลักษณะเหมือนๆ กันเช่น ชอบเล่นการพนัน ตั้งแต่ พ่อ แม่ ลูกทุกคน ขนาดได้เขย สะใภ้ ก็ชอบเล่น ดิฉันก็เลยสังเกตุลักษณะจิต ของครอบครัวตัวเอง ของอีกหลายๆ ครอบครัว มันก็เป็นตามที่จิตระลึกรู้ อันนี้จะเป็นการเข้าใจถูกต้องมั๊ยค่ะ ว่าการที่จิตมีลักษณะเหมือนกัน ทำให้มาปฏิสนธิอยู่ในตระกูลเดียวกัน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับัญชาได้ สมดังที่พระพุทธเจ้า

ตรัสว่า นานาจิตตัง คือ ต่างจิตต่างใจ ตามการสะสมมาแต่ละคน แต่แม้สะสมมาต่างกัน

แต่ การคบหา เข้าหาใกล้ ชอบพอกัน ก็ตามธาตุ คือ ตามอุปนิสัยที่สะสมมาคล้ายกัน

ด้วย เช่น คนที่ชอบเรื่องเดียวกัน เช่น ชอบสิ่งนี้ ชอบสิ่งเดียวกัน ก็จะมักคุย สนทนา

กันได้ และ ก็ถูกคอ เพราะชอบในสิ่งเดียวกัน จึงเข้ากันได้ ส่วน ผู้ที่มีอุปนิสัยไม่

เหมือนกัน เช่น อีกคนเป็นคนไม่ชอบสังคม ไม่เข้าหาผู้ใหญ่ ไม่ใช่คนพูดเอาอกเอาใจ

และ เป็นผู้ที่ตรง ไม่คบคนที่ฐานะ ชื่อเสียง กับ อีกคนที่มีนิสัย เข้าหาผู้ใหญ่เอาอก

เอาใจ ชอบสังคม คบคนที่ฐานะ และ ชื่อเสียง เมื่อต่างมีอุปนิสัยต่างกัน ก็ไม่คบหา

กัน แต่ ถ้ามีลักษณะอุปนิสัยที่เหมือนกัน ก็จะคบหากัน สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

สัตว์ทั้งหลายคบกันโดยธาตุ คือ คบกันตามอุปนิสัยที่สะสมมาเหมือนกัน

ดังเช่น เมื่อพระพุทธเจ้าเห็น พระเทวทัต เดินจรงกรม กับ กลุ่มของท่าน และ

พระองค์ก็เห็น พระสารีบุตรเดินจงกรม พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ว่า

เธอเห็น พระเทวทัต เดินจงกรมกับกลุ่มของท่านหรือไม่ พระองค์ทรงแสดงว่า ภิกษุ

ที่เดินจงกรมกับท่านพระเทวทัต ต่างก็เป็นผู้มีความมักมาก ปรารถนาลามก เหมือนกั

สัตว์คบกันโดยธาตุ โดยนิสัยอย่างนี้ และ ท่านพระสารีบุตร กับภิกษุที่เดินจงกรมด้วย

กัน ต่างก็เป็นผู้มีปัญญามาก มีอุปนิสัยเหมือนกัน

จะเห็นได้ว่า สัตว์ทั้งหลาย ถูกใจ คบหากัน ก็เพราะคบกันโดยธาตุ โดยอุปนิสัยที่

เหมือนกัน ดังนั้น การที่คบหากัน และ ในตระกูลนั้น ชอบการพนันเหมือนๆ กัน ก็เพราะ

อาศัย อุปนิสัยที่เหมือนกัน สะสมมาเหมือนกันด้วยกันประการหนึ่ง และ อีกเหตุผล

หนึ่ง เพราะ ว่า แม้ไมได้สะสมมาที่จะชอบการพนัน แต่อาศัยสิ่งแวดล้อม คือ มีผู้คน

เล่นการพนันมาก และ มีการเสพคุ้น ก็ทำให้ชอบเล่นการพนันตามๆ กันด้วย สมดัง

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คบคนเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น ครับ

ดังนั้น ครอบครัวเดียวกัน ก็อาจมีอุปนิสัยเดียวกันก็ได้ แต่ แม้ครอบครัวเดียวกัน

อุปนิสัยแตกต่างกันไปก็ได้ แต่เพราะอาศัยการเสพคุ้นในสิ่งนั้นบ่อยๆ ไม่ว่าเรื่องหนึ่ง

เรื่องใด ก็ทำให้มีอุปนิสัยในเรื่องเดียวกันได้ ครับ

แต่ ไม่ว่าแต่ละคนจะมีอุปนิสัยอย่างไร ต่างจิตต่างใจ แต่ที่สำคัญ คือ ใจของ

ตนเอง ที่จะเป็นผู้มีความเห็นถูก อยู่กับคนอื่นด้วยความเข้าใจ ขณะที่เข้าใจว่า

เป็นธรรมดาที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครเปลี่ยนแปลง หรือ

อยากให้เป็นไปอย่างนั้น แต่ได้เป็นไปแล้ว จึงควรเข้าใจว่า เป็นเพียง จิต เจตสิก

ที่สะสมมา ไม่มีสัตว์บุคคล ให้ตำหนิ ติเตียนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็อยู่

ด้วยเมตตา ด้วย การอนุเคราะห์หวังดี ตามฐานะของตนที่เป็นอยู่ อันสมควรที่จะ

ทำต่อกัน ด้วยความเกื้อกูล แตไม่คบค้าสมาคม ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 23 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคน เป็นแต่ละหนึ่ง มีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม ทั้งความคิด

การกระทำ และคำพูด จะเห็นได้ว่า ตราบใดก็ตามที่ยังเป็นผู้ไม่เห็นโทษของอกุศล

ก็ย่อมจะเป็นผู้ประมาท มัวเมา มีความประพฤติคล้อยไปตามอกุศลที่สะสมมา ซึ่งก็

หลากหลายมาก ความประพฤติที่ไม่เหมาะสมต่างๆ จะมาจากสิ่งอื่นไม่ได้ นอกจาก

อกุศลธรรมเท่านั้น เพราะถ้ากุศลธรรมเกิดแล้ว จะทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร

ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มีการกระทำในสิ่งที่ผิด ในสิ่งที่ไม่สมควร ก็เพราะอกุศลธรรม

เกิดขึ้นเป็นไป นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

ประโยชน์ของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัวใด สำคัญที่สุด คือ

มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งสะสมความดี

ประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นเครื่องอุปการะ

เกื้อกูลให้ความดีประการต่างๆ เจริญขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ซึ่งก็ต่างก็เป็นคนที่มี

กิเลสด้วยกันทั้งนั้น เพราะเข้าใจถึงความเป็นจริงของการสะสมของแต่ละบุคคล

แทนที่จะโกรธ ไม่พอใจ ในความประพฤติที่ไม่ดีของคนอื่น ก็มีเมตตาเพิ่มขึ้นในใจ

ได้ ขณะนั้นก็ไม่เดือดร้อนเลย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 23 มิ.ย. 2556

ทุกคนมีกิเลสเหมือนกัน ตราบใดที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลก็ยังมีกิเลสมาก

กิเลสของแต่ละคนเวลาโกรธ ก็ไม่พ้นโลภะ โทสะ โมหะที่เหมือนกัน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
mon-pat
วันที่ 23 มิ.ย. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
daris
วันที่ 23 มิ.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nongnooch
วันที่ 24 มิ.ย. 2556

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับข้อสนทนา

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 27 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 27 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ