ตายแล้วฟื้นคืนได้จริงไหมคะ ถ้ายังไม่ได้ฉีดยาที่ร่างศพ

 
พิชญา
วันที่  5 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23005
อ่าน  6,416

หนูมีเรื่องจะปรึกษาเกี่ยวกับการตายของน้า คือเรื่องเป็นแบบนี้คะ น้าหนู

ช็อกและหมดสติก่อนถึงโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลหมอช่วยอย่าง

เต็มที่ หมอบอกว่าช่วยไม่ทันเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่ทัน หลังจากนั้นหมอ

ก็เอาร่างน้าหนูไปไว้ห้องเย็น ประมาณบ่าย 4 โมง ก็เอาศพออกมาแต่ร่างกาย

น้าหนูเหมือนแค่คนนอนหลับ นำร่างไปบำเพ็ญกุศลที่วัดรดน้าศพ มีญาติผู้ใหญ่คน

หนึ่งสั่งไว้ว่าไม่ให้ฉีดยาศพอาจจะฟื้นกลับมาได้ แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันเสียใจ

จนทำอะไรไม่ถูก สัปประเหร่อฉีดยาเข้าร่างโดยที่คิดว่าน้าเราตายแล้วจริงๆ แต่หลัง

จากวันเผาร่างเสร็จ ญาติก็พากันมาสวดมนต์เย็น มีกุมารมาเข้าญาติที่มาฟังพระสวด

ที่บ้าน มาบอกว่าน้าหนูเสียใจเข้าร่างไม่ได้น้าหนูไปเที่ยวมา ทางครอบครัวหนูเสียใจ

กับเรื่องที่เกิดขึ้นมาไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ มันมีจริงใช่ไหมคะ แล้วน้าหนูจะ

ทรมานมากไหมคะ ถ้าไม่ถึงอายุไขที่ตาย แต่กระดูกน้าหนูเป็นสีขาวใสแสดงว่าหมด

อายุไขแล้วใช่ไหมคะ ขอรบกวนถามและช่วยบอกวิธีที่จะทำให้น้าหนูได้ไปสู่สวรรค์

เร็วๆ ด้วยคะ ขอบคุณคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง เมื่อมีการเกิดก็ต้องมีการตาย ซึ่งความจริงของชีวิต ก็คือ ขณะ

ที่จิตเกิดขึ้นและดับไป ขณะที่เกิดเรียกว่า ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เกิดเพียงขณะเดียวใน

ชาตินี้ และ เมื่อถึงคราวที่จะต้องสิ้นชีวิตก็จะต้องมี จิตประเภทหนึ่งที่เรียกว่า จุติจิต

ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ที่เรียกว่า ตายนั่นเอง ซึ่ง การตาย ที่เป็นจุติจิต

เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น นั่นแสดงว่า ความตาย มีครั้งเดียว ในชาตินี้

ไม่ใช่ตายแล้วฟื้นแล้วค่อยตายอีกในอนาคต ซึ่งจริงๆ แล้วในกรณีนี้ก็จะต้องตายไป

แล้ว คือ เกิดจุติจิตเกิดขึ้นและเปลี่ยนภพภูมิไปเกิดในภพภูมิอื่นโดยในความเป็นจริง

ไม่มีวิญญาณที่ล่องลอยที่จะเข้าร่างเลย หากว่า ยังหลับสนิทเป็นภวังคจิต แสดงว่า

ยังไม่ตาย แต่เมื่อจุติจิตเกิด ซึ่งไม่สามารถสังเกตอาการภายนอกได้เลยว่า ตายแล้ว

หรือยัง เพราะ การตาย คือ จุติจิต ที่เป็น จิตที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถเห็นได้ด้วย

ตาเปล่า ครับ เพราะฉะนั้น น้าก็ต้องมีกรรมที่จะต้องตาย ไม่มีใครทำให้ตายได้เลย

เพราะถึงคราวที่จะต้องตาย จุติจิตเกิดขึ้นและไม่มีวิญญาณล่องลอย ที่จะรอเข้าร่าง

อีก เพราะ เมื่อตายแล้วจะต้องเกิดทันที ไม่มีวิญญาณล่องลอยตามที่เข้าใจกันครับ

จึงกล่าวได้ว่า ตายแล้ว ไม่มีทางฟื้นได้ เพราะ ตาย มีครั้งเดียวในชาตินี้ ที่เป็น

จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เพียงแต่ ที่เราเห็น คนที่ตายแล้ว

ฟื้น ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่ตาย ก็หลับสนิทเป็นภวังคจิต โดยไม่รู้สึกตัวก็ได้

และเมื่อเหตุพร้อมก็ฟื้น คือ ตื่นจากการหลับเท่านั้นเอง ไม่ได้ตายแล้วฟื้นตามที่

เข้าใจกัน

ส่วนในเรื่องกระดูกเป็นสีอะไรนั้น ไม่ใช่เป็นเครื่องวัด ว่าหมดอายุขัยหรือไม่

อย่างไร หากว่า จุติเกิด ตายไปแล้ว ตัวความตาย จุติเกิดนั่นแหละ เ็ป็นเครื่องวัด

แล้ว ว่าหมดอายุขัย จากความเป็นบุคคลนี้แล้ว ครับ

ส่วนกรณีนี้ ก็ไม่มีใครทำให้น้าตาย และ น้าก็ไมได้เป็นวิญญาณมารอเข้าร่างตาม

ที่เข้าใจ สบายใจได้ ครับ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น หน้าที่ที่สำคัญ คือ การทำ

บุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เป็นสิ่งที่ควร สำหรับผู้ที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่การเศร้าโศกใน

สิ่งที่ผ่านไปแล้ว และ ไม่สามารถกลับคืนมาได้ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พิชญา
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

หนูขอบคุณมากคะกับการช่วยเตือนใจในครั้งนี้หนูจะพยายามทำใจให้ได้คะ

ขอบคุณมากคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 5 มิ.ย. 2556
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตาย

ด้วยความพยายามอันใด ความพยายามอันนั้น

ไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย เพราะ

สัตว์ทั้งหลาย มีความเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา"

[อ้างอิงจาก ... สัลลสูตร พระสุตตันตปิฎก ขุททนิกาย สุตตนิบาต]---------------------------

แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นของกรรมใดที่นำเกิด ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ โดยไม่มีใครทำให้เลย เป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้วเท่านั้นจริงๆ เมื่อเห็นคนอื่นตาย ก็ควรน้อมเข้ามาในตนว่า ในที่สุดตนเองก็จะต้องตายเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนอื่นตาย แต่ตัวเองไม่ตาย เพราะแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว

ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเองอย่างแท้จิรง การละ

กุศลกรรม แล้วเจริญกุศลบ่อยๆ เนืองๆ ตามกำลังของตนและไม่ละเลยในการอบรม

เจริญปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติ

ตามนั้น เป็นความดีที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่าง

แท้จริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Rodngoen
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suppermarcro
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

การทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เป็นสิ่งที่ควร สำหรับผู้ที่ตายไปแล้ว เราเองมอง

ไม่เห็นคนที่ตายไป ไปอยู่ที่ไหน จะได้รับส่วนกุศลหรือไม่ ถึงจะตายไปนานก็ควร

อุทิศอยู่เป็นประจำ เป็นการกตัญญู และสะสมกุศล

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
rrebs10576
วันที่ 6 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 6 มิ.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ