จิตไม่มีเพศ

 
ไก่บ้าน
วันที่  1 มิ.ย. 2556
หมายเลข  22989
อ่าน  2,346

ในเมื่อจิตเราไม่มีเพศ แล้วเราจะมาแบ่ง เพศชาย หญิง ไปเพื่ออะไรเหรอครับ

แล้วทุกอย่างไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่มีเจ้าของ ไม่มีสมมติ แต่ทำไมเราชาวพุทธ ต้องแบ่งว่า

นั่นหญิง ชาย เสื้อผ้าของเขา หมอนของเรา เวลาทำบุญก็เขียนชื่อติดไว้ ว่านั่นเราเขา

แบ่งแยกกัน ไป


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 2 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความจริง แบ่งเป็นสองอย่าง คือ ความจริงโดยสมมติของชาวโลก และ

ความจริงที่แท้ที่เป็นปรมัตถ ซึ่ง ความจริงแท้ที่มีแต่ลักษณะของสภาพธรรม

ที่เป็น จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน ที่มีลักษณะให้รู้ แม้ไม่เรียกชื่อเลย ก็มี

ลักษณะของสภาพธรรม เช่น จิต เป็นใหญ่ในการรู้ จิตไม่มีเชื้อชาติ วรรณะ

ไม่มีเพศ เพราะจิต เป็นแต่เพียงสภาพรู้เท่านั้น

ส่วนความจริงโดยสมมติ คือ ความจริงที่บัญัติ แต่งตั้ง เพื่อหมายรู้ สื่อสาร

เรียกให้เข้าใจกัน ซึ่งหากไม่เรียก ชาย หญิง คนนั้น คนนี้ การสื่อสาร ที่จะพูดคุย

สื่อสารให้เข้าใจก็เป็นการยาก เช่น กล่าวว่า ขันธ์ หรือ สภาพรู้ กำลังให้ทาน ก็ไม่

สามารถหมายรู้ว่าเป็นใคร จิตดวงนี้ กำลังกล่าวธรรม ก็ไม่เข้าใจกัน ทำให้สับสน

และ ก็ทำให้ไม่เข้าใจธรรม เพราะ แม้มีสภาพธรรมที่เป็นจิต แต่ก็ต้องใช้ชื่อ

บัญญัติว่าเป็น ชื่ิอเรียกอย่างนี้ หมายรู้ให้เข้าใจ การแบ่งเป็น ชาย หญิง บุคคลต่างๆ

สัตว์ประเภทต่างๆ สิ่งของต่างๆ ก็เรียก บัญญัติให้เข้าใจกัน เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตน

ให้ถูกต้อง ตาม ลักษณะของสาพธรรมนั้น คือ จิตประเภทนั้นที่บัญญัติเป็น ชาย

หรือ หญิง เพราะไม่เช่นนั้น ก็มีการปฏฺบัติในชาย หญิงผิด ถ้าไม่มีการบัญญัติ

แต่งตั้ง หมายรู้ว่าเป็นชาย หญิง เป็นสัตว์ บุคคลประเภทใด ครับ

ดังนั้น การอาศัยชื่อ เพื่อให้สื่อสารให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าจึงไม่ปฏิเสธสมมติ

บัญญัติทางโลก แต่ พระองค์ทรงแสดง สัจจะ ความจริงที่เป็นสภาพธรรม โดยอาศัย

บัญญัติทางโลกอธิบายให้เข้าใจ ครับ แม้จะกล่าวว่าเป็น สัตว์ บุคคล แต่ ผู้มีปัญญา

ย่อมเข้าใจถูกอยู่แล้วว่าเป็นแต่เพียงธรรม เพียงแต่เรียกหมายรู้ให้สื่อสารเข้าใจกัน

ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไก่บ้าน
วันที่ 2 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 2 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์จริงๆ อยู่ที่การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมา

สัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และ

ที่สำคัญที่สุด ที่ศึกษานั้น ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง และ

สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันนั้น มีจริงทุกขณะ ไม่เคยขาดเลย มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิด

ขึ้นเป็นไป ตั้งแต่เกิดจนตาย มีแต่ธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก และรูป เท่านั้น ไม่มีสัตว์

ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ซึ่งถ้าได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วก็จะไม่สบสน จะมีความมั่นคง

ในความเป็นจริง ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะถ้าไม่มีปรมัตถธรรม

ที่เป็นจิต เจตสิก และ รูป แล้ว บัญญัติก็มีไม่ได้ ก็จะบัญญัติว่าเป็นคนนั้น คนนี้

เป็นคนชื่อนั้น ชื่อนี้ หรือเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นของเรา เป็นของคนอื่น ไม่ได้ ทั้งหมด

ก็มาจากปรมัตถธรรม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 2 มิ.ย. 2556

ที่พูดว่ามีชาย หรือ หญิง เป็นเพียงสมมติ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งนี้ และ สิ่งนั้นต่างกัน ไม่ใช่

สิ่งเดียวกัน เพราะ จิตวิจิตร ตามการสะสม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 3 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 มิ.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Rodngoen
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
lovedhamma
วันที่ 7 มิ.ย. 2556

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ