พระโสดาบันเกิดเกินกว่า 7 ชาติ

 
ณัฐวุฒิ
วันที่  7 พ.ค. 2556
หมายเลข  22869
อ่าน  16,527

ได้ทราบมาว่า วัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล จะต้องเกิดเกินกว่า 7 ชาติ ซึ่งนอกเหนือประเภทของพระโสดาบัน ใน 3 ประเภทอย่างที่ทราบกันมา คือ

1. เอกพิชีโสดาบัน

2. โกลังโกลโสดาบัน และ

3. สัตตักขัตตุงปรมโสดาบัน

อยากทราบอรรถาธิบาย พรรณามากกว่านี้ครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 7 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เวลาศึกษาก็จะได้พบคำที่เป็นภาษาบาลีอยู่บ่อยครั้ง แล้วจะหาความละเอียดได้ที่ไหน ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นวาจาสัจจะ เป็นคำจริงโดยตลอด เมื่อได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่สับสน ไม่ว่าบุคคลอื่นจะกล่าวว่าอย่างไร ก็ไม่หวั่นไหวหรือไม่เอนเอียงไปกับความเห็นที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว

จากประเด็นคำถาม ที่ควรจะได้พิจารณา คือ วัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล เอกพิชีโสดาบันอริยบุคคล โกลังโกลโสดาบันอริยบุคคล และ สัตตักขัตตุปรมโสดาบันอริยบุคคล มีความหมายว่าอย่างไร?

แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วน ตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ยังไม่สามารถได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์

ต่อไปเป็นการกล่าวถึงคำที่ปรากฏในคำถาม

-วัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล คือ พระโสดาบันผู้มีอัธยาศัยยินดีพอใจในวัฏฏะ

-เอกพิชีโสดาบันอริยบุคคล คือ พระโสดาบันผู้มีกำเนิดอีกชาติเดียว (โดยศัทพ์เอกพิชี แปลว่า มีพืชกำเนิดเดียว) หมายความว่าเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจนเป็นพระอรหันต์ แล้วปรินิพพาน

-โกลังโกลโสดาบันอริยบุคคล คือ พระโสดาบัน ที่จะต้องเกิดอีก ระหว่าง ๒-๖ ชาติ (โดยศัพท์ โกลังโกละ แปลว่า ไปสู่ตระกูลจากตระกูล) หมายความว่า เกิดอีก ๒-๖ ชาติ ถึงจะได้รู้แจ้งมรรคผลเบื้องสูงจนถึงเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน

-สัตตักขัตตุปรมโสดาบันอริยบุคคล คือ พระโสดาบันที่ต้องเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ (โดยศัพท์ สัตตักขัตตุปรมะ แปลว่า มี ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง) หมายถึง พระโสดาบันที่จะต้องเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติแล้ว ถึงจะได้รู้แจ้งมรรคผลเบื้องสูงจนถึงเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน

พระโสดาบันที่เป็นวัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล แสดงความเป็นพระโสดาบันผู้ที่ยังมีอัธยาศัย ยินดีพอใจในวัฏฏะ มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามิคารมารดา เป็นต้น ถึงอย่างไรก็ตาม แม้พระโสดาบันเหล่านี้ ก็จะไม่มีภพที่ ๘ ครับ

จึงสรุปได้ว่า พระโสดาบันมีหลายประเภท บางท่านชาตินี้เป็นพระโสดาบัน แต่จะเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็มี บางท่านจะเกิดอีก ๒ หรือ ๓ ชาติ ก็มี บางท่านเกิดอีก ๗ ชาติก็มี แต่จะไม่มีภพที่ ๘ ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

พระโสดาบันพึงยังภพที่ ๘ ให้เกิด ดังนี้ ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ [วิภังค์]

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 7 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก มีหลากหลายนัย ผู้ที่ศึกษาควรศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ แม้แต่การแบ่ง ความเป็นพระโสดาบันแต่ละประเภท ครับ ซึ่ง พระโสดาบัน คือ ผู้ที่บรรลุธรรม ดับกิเลสได้ ด้วยปฐมมรรค ซึ่ง พระโสดาบันแบ่งเป็นหลายประเภทตามที่กล่าวมา 3 ประเภทนั้น เพราะ ความแตกต่างของกำลังปัญญาของพระโสดาบันแต่ละท่าน ที่อบรมวิปัสสนา แต่ก็มีกำลังปัญญาที่แตกต่างกัน

1. เอกพิชีโสดาบัน เอกพิชี แปลว่า มีพืชกำเนิดเดียว แม้แต่ศัพท์คำนี้ ก็มีความละเอียดลงไปอีกว่า หมายถึง พืช คือ เชื้อที่จะทำให้มีการเกิด ที่เปรียบเหมือนพืช เกิดอีกครั้งเดียว เท่านั้นก็เป็นพระอรหันต์และปรินิพพาน ซึ่ง มุ่งหมายถึงภพภูมิมนุษย์ ครับ

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 235

เอกพีชีบุคคล บุคคลชื่อว่า โกลังโกละ เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ อันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นเกิดในภพมนุษย์อีกครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า เอกพีชี.

- ซึ่งอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติม ครับว่า พระโสดาบัน ที่เป็นเอกพิชีนั้น เป็นพระโสดาบันที่มีปัญญามาก มีกำลังวิปัสสนามาก สามารถที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาติหน้า คือ อีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น โดยมุ่งหมายถึงการเกิดในภพภูมิมนุษย์

2. โกลังโกลโสดาบัน โกลังโกละ แปลว่า ไปสู่ตระกูลจากตระกูลแต่จะต้องเข้าใจความละเอียดว่า ไม่ใช่การไปสู่ตระกูลใด ตระกูลหนึ่ง แต่ หมายถึง การไปสู่การเกิดใหม่ ไปสู่ภพใหม่ จากภพเดิม สู่ภพใหม่ ครับ นี่คือ ความละเอียดของศัพท์บาลี ที่จะต้องอธิบายเป็นอรรถให้เข้าใจ ว่ามุ่งหมายถึงอะไร โดยการแปลตาม อรรถกถา ครับ

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓- หน้าที่ 234

[๔๘] โกลังโกลบุคคล บุคคลชื่อว่า โกลังโกละ เป็นไฉน?

บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็นโสดาบันมีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นจะแล่นไป ท่องเที่ยวไป สู่ตระกูล สอง หรือ สาม ตระกูลแล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ.

- อรรถกถา อธิบายเพิ่มเติมครับว่า เป็นพระโสดาบัน ที่มีปัญญา มีกำลังน้อยกว่าเอกพิชี มีกำลังปานกลาง ซึ่ง สามารถจะเป็นพระอรหันตในชาติที่ 2 หรือ ท้ายสุดคือ ชาติที่ 6 ครับ

3. สัตตักขัตตุงปรมโสดาบัน สัตตักขัตตุปรมะ แปลว่า มี ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความละเอีดยนั้น จะต้องเข้าใจว่า ศัพท์ั้ที่ว่าสัตตักขัตตุปรมะ 7 ชาติเป็นอย่างยิ่งมุ่งหมายถึง การเกิด 7 ชาติแบบไหน อย่างไร จึงจะเป็น สัตตักขัตตุงปรมโสดาบันซึ่ง การแปลความหมายบาลี ก็ต้องประกอบกับเนื้อความอรรถกถาที่อธิบายเพิ่มเติมก็จะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ครับ ซึ่งจะอธิบายดังต่อไปนี้

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓- หน้าที่ 232

[๔๗] สัตตักขัตตุปรมบุคลล บุคคลชื่อว่า สัตตักขัตตุปรมะ เป็นไฉน?

บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็นโสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นจะแล่นไป ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ๗ ชาติแล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้ เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ.

- อรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า เป็นพระโสดาบันที่มีกำลังปัญญาน้อยกว่า พระโสดาบันทั้ง 2 ข้างต้น จึงเกิด ในภพสุดท้าย ในชาติที่ 7 เป็นพระอรหันต์ แต่ ไม่เกิดในภพที่ 8 แน่นอน ครับ

ซึ่งในความละเอียดของ สัตตักขัตตุงปรมโสดาบัน มุ่งหมายถึง พระโสดาบัน ที่เกิดสลับกัน ระหว่างภพชาติที่เป็นมนุษย์ และ เทวดา เป็นต้น ไม่ได้หมายถึง การเกิดเป็นเทวดาอย่างเดียว 7 ชาติ มี ท้าวสักกะ เป็นต้น ส่วน พระโสดาบันที่ยินดีในวัฏฏะ (วัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล) ท่านก็จะไม่เกิดเกิน 7 ชาติแน่นอน มี ชาติที่ 7 เป็นชาติสุดท้าย ซึ่ง บุคคลที่ ยินดีในวัฏฏะ แต่เป็นพระโสดาบัน คือ ๑.อนาถบิณฑิกเศรษฐี ๒.วิสาขาอุบาสิกา ๓.จูลรถเทวบุตร ๔.มหารถเทวบุตร ๕.อเนกวรรณเทวบุตร ๖.ท้าวสักกเทวราช ๗.นาคทัตตเทวบุตร.

ซึ่ง พระโสดาบันที่ยินดีในวัฏฏะ ท่านก็จะไม่เกิดในภพที่ 8 มี ชาติสุดท้ายเป็นพระอรหันต์และ ปรินิพพาน ในชาติที่ 7 ครับ

แต่ อย่างไรก็ดี พระโสดาบันที่ยินดีในวัฏฏะ (วัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล) จะเป็น สัตตักขัตตุปรมโสดาบันเสมอไป ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ครับ เพราะ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ท่านมุ่งหมายถึง พระโสดาบัน ที่เกิด วนเวียน ครบ 7 ชาติ และ บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน แต่ การเกิดใน 7 ชาติของ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน มุ่งหมายถึง การเกิด คละกันไป ระหว่าง เทวดา และ มนุษย์ เป็นต้น ไม่ได้ หมายถึง การเกิดเป็นมนุษย์ 7 ครั้ง การเกิดเป็นเทวดา 7 ครั้ง ไม่ได้ถือเอาว่าเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ครับ ดังเช่น ท้าวสักกะ เป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นเทวดา และ เกิดในเทวโลกสูงขึ้นไป ซึ่ง เป็นพระโสดาบันที่ยินดีในวัฏฏะ แต่ ไม่ใช่สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน แต่ อย่างไรก็ดี พระโสดาบันนอกนี้ คือ เกิดเป็นมนุษย์ อย่างเดียว 7 ชาติ และ เป็นพระอรหันต์ เป็นเทวดาอย่างเดียว 7 ชาติ แล้วเป็นพระอรหันต์ ก็เกิดไม่เกิน 7 ชาติ ครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔- หน้าที่ 601

ในบรรดาพระโสดาบันบุคคล ๓ จำพวก คือ เอกพีชี โกลังโกละ สัตตักขัตตุปรมะเหล่านี้ พระโสดาบันผู้มีอินทรีย์อ่อนกว่าเขาทั้งหมด ชื่อว่า สัตตักขัตตุปรมะ ท่านย่อมไม่เกิดในภพที่ ๘ แต่ยังต้องท่องเที่ยวไปด้วย สามารถแห่งการเกิดของตนที่ธรรมดากำหนดไว้. พระโสดาบันแม้นอกนี้ก็เหมือนกัน.

- จากข้อความในพระไตรปิฎกนี้ แสดงว่า พระโสดาบันนอกนี้ คือ นอกจาก 3 ประเภท (เอกพิชี โกลังโกละ สัตตักขัตตุปรมะ) คือ พระโสดาบันที่ยินดีในวัฏฏะ (วัฏฏาภิรตโสดาบันอริยบุคคล) ก็เกิด ไม่เกิน 7 ชาติเช่นกัน ครับ

ข้อความแสดงถึง พระโสดาบันที่มีอัธยาศัยยินดีในวัฏฏะ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสัตตักขัตตุปรมะโสดาบัน

[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 236

อนึ่ง พระโสดาบันบางองค์ มีอัชฌาสัยในวัฏฏะ เป็นผู้ยินดีในวัฏฏะย่อมท่องเที่ยวไปในวัฏฏะบ่อยๆ นั่นเทียว ปรากฏอยู่. ก็ชนเหล่านั้น มีประมาณเท่านี้ คือ

๑. อนาถบิณฑิกเศรษฐี

๒. วิสาขาอุบาสิกา

๓. จูลรถเทวบุตร

๔. มหารถเทวบุตร

๕. อเนกวรรณเทวบุตร

๖. ท้าวสักกเทวราช

๗. นาคทัตตเทวบุตร

ทั้งหมดนี้ มีอัธยาศัยในวัฏฏะ เกิดในเทวโลก ๖ ชั้น ตั้งแต่ต้น ชำระจิตให้สะอาดในเทวโลกนั่นแหละ แล้วจึงตั้งอยู่ในอกนิฏฐภพ จึงจักปรินิพพาน ชนเหล่านี้ พระองค์มิได้ทรงถือเอาในที่นี้ ก็ชนเหล่านี้พระองค์มิได้ทรงถือเอาเท่านั้นก็หาไม่ พระโสดาบันองค์ใด บังเกิดในมนุษยโลกทั้งหลายท่องเที่ยวไปแล้วในมนุษยโลกนั่นแหละสิ้น ๗ ครั้ง แล้วจึงบรรลุพระอรหันต์ก็ดี พระโสดาบันองค์ใดบังเกิดในเทวโลกทั้งหลายท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ในเทวโลกนั่นแหละสิ้น ๗ ครั้ง แล้วบรรลุพระอรหันต์ ก็ดี พระโสดาบันแม้เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงถือเอา.

แต่ว่าพึงทราบว่า ในที่นี้พระองค์ทรงถือเอาพระโสดาบัน ที่ชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ กับโกลังโกละ ด้วยสามารถแห่งภพอันเจือกัน และ พระโสดาบันผู้บังเกิดในภพของมนุษย์เท่านั้นที่ชื่อว่า เอกพีชี

นี่คือ ความละเอียดลึกซึ้งของศัพท์แต่ละคำของบาลี ที่จะต้องประกอบกับคำอธิบายในอรรถกถา ก็จะเข้าใจได้ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ในแต่ละคำ ในแต่ละประเภทของพระโสดาบัน ครับ

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Lamphun
วันที่ 7 พ.ค. 2556

เป็นศัพท์พระบาลีที่แต่ละคำละเอียดลึกซึ้งมาก แต่อ่านแล้วเข้าใจได้ครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 8 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ณัฐวุฒิ
วันที่ 8 พ.ค. 2556

ขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 10 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Rodngoen
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 9 ก.ย. 2560

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
DjPut
วันที่ 22 ก.พ. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Witt
วันที่ 25 มิ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ