พระโสดาบัน และศีล 5

 
นิรมิต
วันที่  9 มี.ค. 2556
หมายเลข  22590
อ่าน  3,591

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

มีความสงสัยเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกันของพระโสดาบันและศีล ๕ จะขอกราบเรียน

ถามดังนี้ครับ

ก็พระอริยบุคคลทั้งหลาย มีพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมดับอกุศลธรรมได้ตามกำลังของปัญญาของตนๆ ตามลำดับขั้น ซึ่งในเรื่องของศีล ๕ อันเป็นการกระทำที่ไหวไปด้วยกิเลสอย่างหยาบ พระโสดาบันก็ไม่มีการก้าวล่วงอีก ก็แปลว่าท่านย่อมดับอกุศลธรรมที่เป็นวีติกกมกิเลสได้หมดสิ้น

ทีนี้ ปฏิปทาที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ก็คือการเจริญมรรคมีองค์๘ เจริญสติปัฏฐาน๔ ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนถอนความยึดมั่นถือมันว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลได้ ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทได้ตามขั้นของพระอริยะ ซึ่งสำหรับการบรรลุเป็นพระโสดาบัน ที่สามารถดับกิเลสได้ ก็ต้องทราบอริยสัจ๔ ต้องทราบทุกข์ ทราบสมุทัย ทราบนิโรธ ทราบมรรค เพราะหากไม่ทราบทุกข์ ก็ไม่ประจักษ์ทุกข์ ประจักษ์ทุกข์ไม่ถูก ไม่ทราบสมุทัย ก็ละเหตุของทุกข์ไม่ถูก ไม่ทราบนิโรธ ก็ประจักษ์นิโรธไม่ถูก ไม่ทราบมรรค ก็ดำเนินปฏิปทาไม่ถูก ถูกต้องไหมครับ

ฉะนั้นแปลว่าจะเป็นพระโสดาบันได้ ก็ต้องทราบอย่างแจ่มแจ้งก่อนว่า ทุกข์คืออย่างไรสมุทัยคืออย่างไร นิโรธคืออย่างไร มรรคก็อย่างไร ซึ่งก็ได้แก่การอบรมปัญญา สั่งสมสัมมาทิฏฐิ อันเป็นสัจจญาณ ต่อด้วยกิจจญาณในอริยสัจและกตญาณในอริยสัจ


คำถามที่ขออนุญาตกราบเรียนถามคือ

ในเรื่องของศีล ๕ ก่อนที่พระโสดาบันจะดับวิติกกมกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แสดงว่าก่อนที่จะบรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ต้องรู้จักศีล ๕ ว่ามีอะไรบ้างก่อน รู้ว่าศีล ๕ มีองค์อย่างไร จะล่วงได้อย่างไร การกระทำใดคือการล่วงศีล การกระทำใดไม่ล่วงศีล โดยความเป็นเรื่องราว โดยละเอียดทุกประการก่อน ที่เป็นสัจจญาณในเรื่องของศีล ๕ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้จักศีล ไม่รู้จักว่าอะไรคือศีล อะไรไม่ใช่ศีล ก็กระทำศีลให้บริสุทธิ์ไม่ได้

หรือท่านไม่จำเป็นต้องทราบรายละเอียดของการกระทำที่เป็นศีล โดยความเป็นเรื่องราว โดยความเป็นสมมติเรื่องราวที่เป็นการก้าวล่วงศีลโดยละเอียดก่อนที่จะบรรลุเป็นพระโสดาบัน เพียงแต่เพราะท่านประจักษ์ตัวลักษณะจริงๆ ของวิติกกมกิเลส ประจักษ์ลักษณะของอกุศลเจตสิกทั้งหลาย ที่เป็นวิติกกมกิเลส จนทราบว่าลักษณะนั้นนั่นแหละ เป็นสิ่งที่พึงละ เป็นสมุทัย (ในกรณีนี้ สมุทัยหมายรวมอกุศลธรรมอื่นนอกจากโลภะได้ไหมครับ เพราะอกุศลทั้งหลายก็คือของที่พึงละเหมือนกัน คือเป็นธรรมที่พึงละ ของการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลแต่ละขั้น เช่นพระโสดาบัน ก็มีสิ่งที่พึงละได้แก่ โลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง โมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์ ๑ ดวง อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ และวิติกกมกิเลสทั้งหมดตามขั้น หมายรวมกันเป็นสมุทัยได้ไหม เพราะเป็นธรรมอันพระโสดาบันละได้ เป็นธรรมอันพระโสดาบันพึงละ พึงดับให้เป็นสมุจเฉท)

และเมื่ออกุศลธรรมเหล่านี้อันท่านประจักษ์ลักษณะโดยความเป็นปรมัตถ และทราบว่าเป็นสมุทัยโดยนัยที่กล่าวมา ท่านก็ดับได้เป็นสมุจเฉท ส่วนศีลที่บริสุทธิ์ ก็เป็นพึงกล่าวว่าผลพลอยได้ที่ตามมา โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องทราบองค์ของศีลทั้งหลายโดยละเอียดทุกประการก่อน เพียงแต่พอกิเลสหยาบเหล่านั้นดับได้แล้วเป็นสมุจเฉท ศีลอันบริสุทธิ์ จึงเป็นไปเองอย่างนั้นๆ เพราะเหตุให้ล่วงไม่มีแล้ว

กราบขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง กล่าวคือ ดับความเห็นผิดทุกประเภท ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความริษยา ดับความตระหนี่ ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิได้ทั้งหมด

พระโสดาบันเป็นผู้มีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ ก็เพราะว่าดับกิเลสอย่างหยาบได้หมดแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ล่วงศีล ๕ อีกเลย ถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลยังมีโอกาสล่วงศีล ๕ ได้ เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลส ซึ่งจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลยทีเดียว เพราะกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่ากิเลสจะมีมากมายสักเพียงใดก็ตาม ก็สามารถดับได้ในที่สุดเมื่อมีการอบรมเจริญปัญญาจนคมกล้าขึ้นถึงขั้นที่เป็นโลกุตตระ เมื่อมรรคจิตเกิดขึ้น ก็สามารถดับกิเลสได้ ตามสมควรแก่มรรคของตนๆ และกิเลสที่ดับได้แล้ว ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกในในสังสารวัฏฏ์

สำหรับพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ยังมีกิจที่จะต้องกระทำยิ่งๆ ขึ้นไป คือ อบรมเจริญปัญญา เพื่อดับกิเลสที่ยังเหลืออยู่ จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ ความเป็นพระโสดาบันเป็นไปด้วยการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะความเป็นจริงทั้งหมดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ทำให้สามารถรู้ตัวจริงของสภาพธรรม ที่เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แม้จะไม่ใส่ชื่อ ความเป็นจริงของสภาพธรรมก็ไม่เคยเปลี่ยน แม้พระโสดาบันไม่ได้รู้ชื่อหรือเรื่องราวของสภาพธรรมโดยละเอียด แต่ท่านก็เข้าใจในลักษณะของธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ประการที่สำคัญ ความเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ต้องเป็นผู้มีปัญญาสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน คือ ผู้ที่บรรลุคุณธรรม ดับกิเลสเบื้องต้นด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา บ่อยๆ เนืองๆ จนปัญญาคมกล้า เกิดวิปัสสนาญานแต่ละขั้น จนถึงความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งการเจริญอบรมปัญญาก็ต้องรู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง ทุกข์ คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และ รู้เหตุแห่งการเกิดทุกข์ที่เป็นสมุทัย ก็คือ โลภเจตสิกที่เกิดขึ้น และ จะต้องรู้ทั่วในสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

ซึ่งจะต้องเริ่มจาก สัจจญาณ คือ ปัญญาขั้นการฟังที่มั่นคงในเรื่องราวของสภาพธรรม จนมีกำลัง เกิดกิจจญาน ที่เป็นขณะที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ด้วยปัญญา ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จนถึงกตญาน คือ ปัญญาที่สมบูรณ์พร้อม ถึงการดับกิเลสได้ มีการบรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น

ซึ่งผลของการบรรลุเป็นพระโสดาบัน คือ การเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง และ มีศีลห้าไม่ขาดเลย ซึ่งการที่ได้ศีลห้าไม่ขาดเพราะด้วยเหตุที่ว่าปัญญา มีกำลังประจักษ์พระนิพพานจนดับกิเลส ปัญญาย่อมละกิเลสที่เป็นเหตุให้ล่วงศีลห้าได้จนหมดสิ้น ครับ

จากคำถามที่ว่า พระโสดาบันละ งดเว้นจากการล่วงศีลห้าได้แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านจะต้องรู้รายละเอียดของศีลมาตั้งแต่ต้นหรือไม่ ส่วนการรู้รายละเอียดในองค์ของศีล ผู้ที่จะเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรู้องค์ของศีลก่อน รู้รายละเอียดของศีล จึงจะทำให้งดเว้นจากศีลห้าได้จริงๆ เพราะก็เป็นเพียงการรู้ชื่อ รู้เรื่องราว ไม่ใช่ปัญญาที่จะทำให้ละ งดเว้นจากศีลได้จริงๆ แต่ปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะที่รู้ความจริง มีศีลแล้วในขณะนั้น มีสมาธิและปัญญาด้วย ปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น จากการเจริญสติปัฏฐาน ปัญญาเป็นเหตุของการเจริญขึ้นของกุศลธรรม ทำให้ศีลก็ดีขึ้นตามปัญญาด้วย ครับ

ดังตัวอย่างในพระไตรปิฎก นายเขมกะ หลานท่านอนาถะ ล่วงศีลข้อสามเป็นประจำ แต่เมื่อท่านได้ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจบ ก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน งดเว้นจากบาป จากการล่วงศีลห้าเด็ดขาด ด้วยปัญญาที่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสที่จะทำให้ล่วงศีลห้า ครับ

และ แม้แต่ผู้ที่ไม่สนใจธรรมเลย มีความเห็นผิดก็มี แต่ไม่ถึงกับความเห็นผิดที่ดิ่ง ก็ไม่รู้รายละเอียดของศีล แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ทำให้งดเว้นจากบาป จากการล่วงศีลห้าได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นการละศีลห้าได้หมดสิ้นด้วยปัญญาที่เจริญสติปัฏฐาน ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ศีลก็ดีขึ้น แม้ไม่ได้รู้รายละเอียดของศีล แต่รู้รายละเอียดของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ ขอนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 10 มี.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ประวิทย์พลีไพร
วันที่ 16 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา ปัญญาอันประเสริฐ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 21 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ