ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ อาคารศูนย์ปฏิบัติการ การบินไทย สุวรรณภูมิ ๒๘ ก.พ. ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  3 มี.ค. 2556
หมายเลข  22567
อ่าน  3,159

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คุณคำปั่น อักษรวิลัย วิทยากรของมูลนิธิฯ ได้รับเชิญจากคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ เพื่อไปสนทนาธรรม ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคารศูนย์ปฏิบัติการ การบินไทย สุวรรณภูมิ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๖ ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.

ในความเห็นของข้าพเจ้า การสนทนาธรรมครั้งนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับท่านที่สนใจในพระศาสนา ซึ่งในปัจจุบัน จากการสังเกตุ จะเห็นว่า ผู้ที่สนใจในพระศาสนาที่เป็นเยาวชน คนหนุ่มสาว มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนในอดีตมาก แต่ หนทางที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจในคำสอนที่ถูกต้อง ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง เป็นสิ่งที่บุคคล ต้องฟังและพิจารณาโดยความละเอียด รอบคอบอย่างยิ่ง ว่า เป็นพระธรรมคำสอน เพื่อให้ความเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่ควรรู้ยิ่ง ทุกกาลสมัย และ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้โดยละเอียดถึง ๔๕ พรรษา เพื่อให้บุคคลที่สะสมมา ได้มีโอกาสรู้ความจริงนี้ ด้วยการฟังและการศึกษา โดยความละเอียด โดยความรอบคอบ และ ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง จึงจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ จากพระธรรมจริงๆ

ข้าพเจ้า จึงขอนำความการสนทนาบางตอน ในวันนั้นมาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณา ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมฟัง ทั้งที่เป็นกัปตันเครื่องบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทย พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินอื่นๆ รวมถึงอดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (อดีตนางฟ้าการบินไทย) หลายท่านที่ติดตามฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์มานานแล้ว ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมฟังด้วย

อย่างที่ข้าพเจ้าเรียนให้ทราบแล้ว คำถามจากการสนทนาธรรมในครั้งนี้ เป็นประโยชน์และน่าสนใจ สำหรับท่านที่สนใจที่จะศึกษาพระศาสนาอย่างยิ่งครับ

คุณณภัทร มีเพื่อนๆ ที่มาฟังวันนี้ ฝากคำถามมาที่ผม คำถามนะครับท่านอาจารย์ ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ปฏิบัติธรรม โดยการเข้าคอร์ส ตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่เวลาจะกำหนด ห้าวันบ้าง เจ็ดวันบ้าง เก้าวันบ้าง อยากจะรบกวนถามท่านอาจารย์ตามนี้ครับ

ข้อที่ ๑. การปฏิบัติธรรม โดยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ตามสถานที่ต่างๆ นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ สมควรทำต่อไปหรือไม่ครับ?

ท่านอาจารย์ ต้องทราบว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะให้เข้าใจ หรือว่า ให้ทำ? ต้องคิดค่ะ ต้องไตร่ตรอง และ รู้ว่า "ทำ" ทำอะไร? ถ้าไม่เข้าใจ "ทำอะไร" คะ?

เพราะว่า ส่วนใหญ่ ยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ไป "ทำนั่ง" แล้วก็ "ทำเดิน" โดยที่ไม่เข้าใจ จะมีประโยชน์อะไร?

คุณณภัทร ก็ อย่างบางคน ที่เขาบอกว่า เวลาเดิน เขาก็รู้ว่า เขาเดิน กำลังเดิน อย่างนี้ครับ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ แล้วอะไร? เป็นสิ่งที่มีจริง ขณะที่เดิน ที่เป็นธรรมะ ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเป็นอนัตตา ก็ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ทั้งสิ้น แล้ว (ธรรมะ) ก็เป็นเรื่อง "ละ" ไม่ใช่เรื่อง "หวัง" หรือเรื่อง "ต้องการ" ถ้าเราจะศึกษาอย่างอื่น เราจะรู้ว่า เป็นไปเพราะ "เราต้องการสิ่งนั้น" อยากได้ลาภบ้าง ยศบ้าง สรรเสริญบ้าง ทรัพย์สมบัติบ้าง อะไรต่างๆ แต่สำหรับพระธรรม ตรงกันข้าม เพราะว่า มีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ ก็เสื่อมยศ มีทรัพย์สินเงินทองก็หมดไปได้ วันหนึ่งวันใด โดยอนัตตา คือ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย และ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นที่พึ่งจริงๆ ยามทุกข์หรือเปล่า? ถ้ามีทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ นี่ จะมีเงินทองสักเท่าไหร่ จะมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ สักเท่าไหร่ สิ่งนั้นจะช่วยได้หรือเปล่า?

แต่ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง สามารถทำให้เรา มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก จากการเกิดมา แล้วไม่รู้อะไรเลย เป็นความ ค่อยๆ เข้าใจความจริง เพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะถูกชักชวน หรือ อะไรก็ตาม เพื่ออะไร? สำหรับพระพุทธศาสนา "เพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูก ตามความเป็นจริง" ของสิ่งที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้น เป็นเรื่อง "ละความไม่รู้" ซึ่ง "ความไม่รู้" จะละไปได้ ก็ต่อเมื่อ มี "ความรู้ ความเข้าใจ" เพิ่มขึ้น ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไปพอใจ ติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราว แล้วก็หมดไป เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อย่างขณะนี้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ได้ยิน ได้ฟัง แต่ใครจะรู้ว่า จะจากโลกนี้ไป เมื่อไหร่ ได้เลยทั้งสิ้น แล้วอะไรที่เป็นของเราจริงๆ ? แม้แต่รูปร่างกายเดี๋ยวนี้ ซึ่งเราทะนุถนอมมาก ตั้งแต่เช้ามา ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้ติดตามไปได้เลย ไม่มีอะไรไปได้เลย แต่ "ความเข้าใจ" จะติดตามไป ตามสมควร แก่ความเข้าใจนั้นๆ

เพราะฉะนั้น ความประเสริฐ ที่ได้รับจากพระธรรม คือ ได้เข้าใจความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะ เอาออกไปจากใจได้ เมื่อเข้าใจแล้ว ที่เก็บ ที่ปลอดภัยที่สุด ของทั้งกุศล และ อกุศล ก็คือว่า อยู่ในจิต ทั้งๆ ที่ "จิต" เป็น "นามธรรม" ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่เก็บ ไม่ใช่ตู้นิรภัย แต่ว่า เก็บทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศล สะสมมา ทำให้ แต่ละหนึ่ง ต่างกัน ไม่ซ้ำกันเลย

ถ้าจะศึกษาเรื่องจิต ต่อไป จะทราบได้เลยว่า จิต "หนึ่งขณะ" เกิดขึ้นขณะเดียว จะมีสองขณะ เกิดพร้อมกันทันที ไม่ได้ จิตหนึ่งขณะ เกิดขึ้น เพราะปัจจัย เมื่อจิตนั้นดับ หมดสิ้นไป จึงเป็นปัจจัย ให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อได้

พราะฉะนั้น "ชีวิต" ของแต่ละคน ก็คือ แต่ละหนึ่งขณะจิต เท่านั้นเอง ที่เรียกว่า ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นอยู่ ก็เพราะว่า ยังมีจิตเกิด แล้วก็ดับไป ทีละหนึ่งขณะ สืบต่อกัน

ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ เราทำอะไร ด้วยความไม่เข้าใจ แน่นอน คือ ไม่รู้ว่า ไปทำอะไร? และ ปฏิบัติอะไร? แล้ว รู้อะไร?

ซึ่งจะเป็นปัญญาระดับนั้น ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ "ฟัง" ให้เข้าใจก่อน ซึ่งใช้คำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จะ "ข้าม" ปริยัติ ไป ปฏิบัติ ก็คือว่า ไม่เห็นค่า ของแต่ละ "คำ" ที่พระผู้มีพระภาคฯตรัส และ ทรงแสดง เพื่อพุทธบริษัท จะได้พิจารณา ไตร่ตรอง

เพราะว่า กิเลส ทุกคนคงรู้จัก "จิต" เป็นสภาพรู้ อย่างเดียว "เสียง" กำลังปรากฏ จิต รู้ เสียง ไม่ได้จำ ไม่ได้ชอบ ไม่ได้ชัง ในเสียงเลย จิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ส่วนความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ สุข ทุกข์ อะไรต่างๆ เป็น "เจตสิก" ซึ่งเกิดกับจิต เมื่อจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ "ถูกรู้" ก็เป็นของธรรมดา ชั่วคราว แล้วก็หมดไป ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ เราไปทำอะไร? ไปปฏิบัติ อะไร? เพื่อ รู้อะไร? ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจ เพราะเหตุว่า ไม่มีการฟังก่อน ให้เข้าใจ

คุณณภัทร เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มด้วยความเข้าใจ จากการศึกษา มากกว่าที่จะไปเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติ โดยที่ว่า ไม่ได้รู้อะไรเลย ใช่ไหมครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ มีความรู้ สามขั้น ขั้นที่หนึ่ง คือ การรอบรู้ ในพระพุทธพจน์ แต่ละคำ อย่างคำว่า "ธรรมะ" ธรรมะ คือ อะไร? บางคนก็บอกว่า เป็นคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าจะเข้าใจต่อไปอีก สอนอะไร? เห็นไหม? เราจะหยุดอยู่เพียงแค่ เป็นคำสอน แล้ว สอนอะไร? เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ "ปัญญา"

แต่ถ้าเป็น "ปัญญา" จริงๆ ต้องละเอียด ต้องซักไซ้ จนถึงที่สุด จะมีคำตอบ ที่ชัดเจน ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เพราะจากการ "ตรัสรู้"

สอนอะไร? สอนสิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ" เพราะฉะนั้น ก็สอนเรื่องทุกอย่าง จนกระทั่ง มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่า ขณะเมื่อกี้นี้ หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ขณะต่อไป ก็ยังไม่มาถึง เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจ สิ่งที่มีจริง ก็คือ ในขณะที่สิ่งนั้น กำลังปรากฏ ถูกต้องไหม?

นี่คือ สิ่งที่จะต้องรู้ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติไม่มีค่ะ ใครจะไปบอกว่าปฏิบัติ แต่ไม่ใช่!! เพราะเหตุว่า ต้องเป็น "ปัญญา" อีกระดับหนึ่ง

เหมือนความรู้ ต้องตามลำดับว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่มีความเข้าใจ แล้วจะไปทำอะไร? แต่เมื่อมีความรู้แล้ว "ปัญญานั่นแหละ ทำหน้าที่ของปัญญา" เพราะว่า ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เข้าใจได้แล้ว เพราะ "ฟังเข้าใจ" ฟังเข้าใจ จนกระทั่งรู้ว่า เดี๋ยวนี้ เหมือนกับที่ได้ฟังมาเลย คือ เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น และ ดับไป นั่นคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ตามลำดับไม่มีใครสักคน ในครั้งพุทธกาล ที่ปฏิบัติ โดยไม่มี ปริยัติ เพราะฉะนั้น จะถึงปฏิเวธไม่ได้ ปัญญาขั้นไหน? จากขั้นสูง ลงมาข้างล่าง ขั้นต่ำ หรือว่า จากขั้นต้น ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนขั้นที่ รู้ความจริงได้

คุณณภัทร ครับ ก็แสดงว่า ต้องมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในสภาพธรรมก่อนนะครับ อีกคำถามนะครับ ถามว่า การศึกษาธรรมะที่ถูกต้อง ควรจะเริ่มศึกษาอย่างไร? วิธีไหน? ที่จะทำให้เป็นการศึกษาที่ถูกต้องตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ แล้วไม่ทรงแสดงพระธรรมเลย มีใครจะรู้บ้าง?ก็ชัดเจนอยู่แล้ว อาศัยการฟังพระธรรม ในครั้งพุทธกาล แต่เมื่อทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็มีการสืบทอดกันมา โดยการท่องจำ จนกระทั่ง จารึกเป็นตัวอักษร แต่ทราบไหม? ว่าขณะที่กำลังอ่าน ก็คือ คิดถึงเสียง อ่านโดยไม่คิดถึงเสียงได้ไหม? ลองดู มีข้อความว่า "พระวิหารเชตวัน" เป็นตัวหนังสือ แต่ถ้าไม่มี พระวิหารเชตวัน ในการจำตัวหนังสือ ที่ออกมาเป็นเสียง ก็จะไม่รู้ว่า หมายความว่าอะไร?

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เห็นอะไร แล้วอ่าน ให้ทราบว่า "จำเสียง" แล้วก็เข้าใจ ความหมาย ของเสียง ไม่ใช่เพียงแต่เห็นตัวหนังสือ แต่ มีเสียงของตัวหนังสือ ว่าคำนี้ อ่านว่าอะไร? เพราะฉะนั้น แม้แต่ความคิด เราคิดเป็นคำ ก็มี คิด ที่ไม่ใช่คำ ก็มี แต่ไม่รู้ อย่างขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ต้องคิดเป็นคำ แต่คิดถึงรูปร่างสัณฐาน ก็รู้ว่า สิ่งนั้น คือ อะไร? ถูกต้องไหม? แต่ว่า เวลาที่มีตัวหนังสือ มีเสียง เราก็รู้ว่า คำนั้น หมายความถึงอะไร? ไม่ใช่แต่เพียง เห็นเฉยๆ

แต่เวลานี้ ถ้าจะพูดไป กำลังอ่านหรือเปล่าคะ? ทางตา ที่กำลังเห็น อ่านเงียบๆ ไม่มีเสียง แต่จำได้ ว่าสิ่งที่เห็น เป็นอะไร? ไม่ใช่เพียงแต่ผ่านไป แล้วก็ไม่สนใจในรูปร่าง ในนิมิต ในอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่รู้เลย ว่าอะไร? เคยมีอะไรอยู่ข้างหน้า แล้วมองไม่เห็นบ้างไหม? หาใหญ่เลย ทั้งๆ ที่ สิ่งนั้น ก็อยู่ตรงหน้า ก็น่าจะรู้ น่าจะเห็น แต่พอไม่นึกถึงรูปร่าง เหมือนไม่เห็นเลย ว่าอะไร?

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมะ แม้มีจริง แต่ก็ละเอียดมาก ที่เราจะต้องรู้ ความต่าง ของสิ่งที่มีจริงๆ นี้ ละเอียด เช่น มีสิ่งที่ปรากฏทางตาจริง เพียงปรากฏให้เห็น ตอนหนึ่ง แต่ว่า เพียงปรากฏให้เห็น ซ้ำๆ กันบ่อย จนกระทั่ง ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ถ้าเพียงหนึ่ง ไม่มีรูปร่างสัณฐานเลย แต่พอซ้ำๆ กัน ก็ปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐาน ให้จำได้ ว่าเป็นอะไร

เพราะฉะนั้น ธรรมะ ละเอียด แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจ ในความเป็นอนัตตา แล้วก็เห็นความจริงว่า ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจ เพื่อละความไม่รู้ แล้วจึงจะ "รู้ความจริง ตรงตามที่ได้ฟัง อีกขั้นหนึ่ง" ซึ่งใช้คำว่า "ปฏิปัตติ" และคนไทย ใช้คำว่า "ปฏิบัติ"

คำว่า สำนัก หมายความถึง ที่อยู่ สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าพระองค์ จะประทับที่ไหน ถ้าประทับที่พระเชตวัน พระเชตวัน ก็เป็นสำนักที่พระองค์ประทับ ถ้าพระองค์ประทับที่พระวิหารเวฬุวัน พระวิหารเวฬุวัน ก็เป็นสำนัก ที่พระองค์ประทับ สำนัก หมายความถึง ที่อยู่ สำนักของเดียรถีย์ สำนักของใครต่อใคร มีเยอะแยะมาก ในครั้งนั้น ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ แต่ว่า ในครั้งโน้น ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าเป็นชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะทำอาหารในครัว ก็มีผู้บรรลุ จะชื่อว่า สำนักอะไร?

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นการที่ เราคิดว่า จะปฏิบัติ ที่สำนัก พออกมา ก็ไม่ปฏิบัติ ไม่รู้ว่า ปฏิบัติ คือ อะไร?ถ้าเป็นปัญญา ที่เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริง "ตรงไหนก็มีจริง" เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ตรงนั้น ก็เข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นฟัง เราไม่ฟังในห้องนี้ ได้ไหม? ได้...

เรากำลังเดินทาง อยู่บนเครื่องบิน หรือว่า ที่รถไฟ หรือ ตามท้องถนน หรือว่า สวนสาธารณะ หรือ ที่บ้านมิตรสหาย "ฟัง" ได้ไหม? ก็ได้

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติ คือ การที่สามารถ "เข้าใจ ลักษณะ" ของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเกิดที่ไหน? เมื่อไหร่? ก็ได้ เมื่อมีความเข้าใจ พอที่จะรู้ความจริง ในขณะนั้น จึงรู้ได้

ด้วยเหตุนี้ การศึกษา ก็คือ การอบรม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ค่อยๆ ละ ความไม่รู้ แล้วต้องไม่หวังด้วย เพราะเหตุว่า ขณะใด ที่หวัง ขณะนั้น "เป็นเรา" เป็นเครื่องกั้น ทันที เราได้ยิน ได้ฟังคำว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่ จริงหรือยัง? หรือว่า ได้ฟังมา ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แต่ละหนึ่งธรรมะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่รวมกัน แล้วก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เป็นตัวตน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นหนังสือ เป็นอะไรต่างๆ

นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แต่ละคำ ที่ได้ยินแล้ว ได้ฟังแล้ว ถ้าเข้าใจแล้ว ต้องตรง ทุกอย่าง เป็นธรรมะ "เห็น" ขณะนี้ เป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏให้เห็นได้ ว่ามีจริงๆ "เป็นธรรมะ" อย่างหนึ่ง ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ ทุกครั้งที่เห็น แล้วคิดทันที จำทันที เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ทันที เพราะการเกิดดับสืบต่อของจิต เร็ว สุดที่จะประมาณได้เหมือน นายมายากล ลวงให้เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่ได้ดับไปเลย

เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้ นานมาแล้ว แล้วก็จะนานต่อไปอีก ถ้าไม่มีการฟัง ที่จะทำให้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น เลิกคิด เรื่อง ปฏิบัติ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะ แล้วก็ เลิกคิดว่า "เราจะปฏิบัติ" เพราะ ไม่ใช่ความเห็น ที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า ความเห็นที่ถูกต้อง ต้อง "ไม่ใช่เรา" แต่ "เป็นธรรมะ" "ปัญญา" เป็นธรรมะ "ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ" ก็มีจริงๆ เป็นธรรมะ "ความสงสัย" ก็เป็นธรรมะ ทุกอย่าง ที่มีจริง เป็นธรรมะ ทั้งหมด แต่ว่า เร็วมาก เพียงปรากฏ....แล้วก็.....หมดไป.......

ณ กาลครั้งหนึ่ง ของการไปสนทนาธรรม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ อาคารศูนย์ปฏิบัติการ การบินไทย สุวรรณภูมิ ได้ผ่านไปแล้ว ด้วยความซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ประทับใจอย่างยิ่ง

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของ คุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nong
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สาริณี
วันที่ 3 มี.ค. 2556

อนุโมทนากับคุณ ณภัทร และลูกเรือทุกท่านที่มาร่วมฟังท่านอาจารย์นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Noparat
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ความประเสริฐ ที่ได้รับจากพระธรรม

คือ ได้เข้าใจความจริง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เข้าใจ
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นขอกราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ด้วยครับที่เกื้อกูลมิตรธรรมทุกๆ

ท่านเป็นอย่างดี

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้ัมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"พระธรรมที่ทรงแสดง

สามารถทำให้เรา มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก

จากการเกิดมา แล้วไม่รู้อะไรเลย

เป็นความ ค่อยๆ เข้าใจความจริง เพิ่มขึ้น"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
บรรพต
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ch.
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้ัมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
rrebs10576
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ING
วันที่ 5 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกราบบูชาคุณแห่งบุคคลผู้ควรบูชา..... ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kinder
วันที่ 6 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 7 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เซจาน้อย
วันที่ 9 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้ัมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อนุโมทนาในกุศลทุกประการของ คุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
นิรมิต
วันที่ 9 มี.ค. 2556

กราบเท้าบูช้าคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
wannee.s
วันที่ 13 มี.ค. 2556

อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
petchsanu
วันที่ 19 เม.ย. 2556
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพ สำหรับ ธรรมบรรยายและคำตอบที่ทรงคุณค่า แม้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสพบเจอ ตัวจริง แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง อาจเป็นด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์. . . ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับความรู้ผ่านภาษา บาลีที่ขาดมิได้ และบทสนทนาระหว่างช่วงพัก

ขออนุโมทนากุศลกับ คุณณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์, คุณวันชัย ภู่งาม และคณะทำ

งานทุกท่านครับ

สานุ มหัทธนาดุลย์

นิสิต พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
boonpoj
วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ