ทรงกล่าวถึงเมื่อสมัยที่สัตว์ตายแล้วยังไม่เกิดหรือ ?

 
ผู้ยังไม่พ้น
วันที่  6 ก.พ. 2556
หมายเลข  22452
อ่าน  1,265

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด เปลวไฟถูกลมพัด ย่อมไปไกลได้ ก็พระโคดมผู้เจริญจะทรงบัญญัติอะไรแก่เปลวไฟนี้ ในเพราะเชื้อเล่า ฯ

พ. ดูกรวัจฉะ สมัยใด เปลวไฟถูกลมพัด ย่อมไปไกลได้ เราย่อมบัญญัติเชื้อ คือลมนั้น ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของเปลวไฟนั้น ฯ

ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด สัตว์ย่อมทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึงกายอันใดอันหนึ่งด้วย ก็พระโคดมผู้เจริญ จะทรงบัญญัติอะไรแก่สัตว์นี้ในเพราะอุปาทานเล่า ฯ พ. ดูกรวัจฉะ สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึงกายอันใดอันหนึ่งด้วย เราย่อมบัญญัติอุปาทาน คือ ตัณหานั่นแล ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้นตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น ฯ


จากพระสูตรดังกล่าว

มีสมัยที่สัตว์ตายแล้วยังไม่เกิดด้วยหรือครับ เคยได้ฟังมาว่าตายแล้วเกิดทันที แต่จากพุทธวจนะบทนี้ ทำให้สงสัยว่ามีสมัยที่สัตว์ตายแล้วยังไม่เกิดด้วยหรือ?

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากที่ผู้ถามได้ยกข้อความในพระไตรปิฎกมานั้น อยู่ในส่วนของพระสูตรที่ชื่อว่า กุตุหลสาลาสูตร ซึ่งเป็นการแสดงถึงความยอดเยี่ยมของพระพุทธเจ้า ที่ประเสริฐเลิศกว่าครูทั้ง 6 ที่มีความเห็นผิด ซึ่งกระผมจะขอเล่าพระสูตรนี้ ให้เข้าใจตั้งแต่ต้น เพื่อประโยชน์ในการตอบคำถาม ครับ เรื่องมีอยู่ว่าวัจฉะ ปริพพาชก ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และ ได้กราบทูลเล่าเรื่องที่ตนได้ทราบว่า มีพวกครูทั้ง ๖ ที่เห็นผิด มาประชุมกัน ต่างเถียงกันวุ่นวาย และ กล่าวยกย่อง ครูที่เป็นหัวหน้าของตนว่า เลิศ ประเสริฐ ด้วยสามารถพยากรณ์ว่า สาวกของเรา เมื่อตายไปก็เกิดในภพภูมินั้น ภพภูนี้ และแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงพยากรณ์สาวกของพระองค์ว่า เกิดในภพภูมินั้น ภพภูมินี้ และ ยังแสดงถึงผู้ที่หมดตัณหา อุปาทานด้วย ข้อนี้ข้าพระองค์สงสัยในเรื่องนี้ ว่าเรื่องใดจริง เรื่องใดไม่จริงพระพุทธเจ้าตรัสว่า ควรอยู่ท่านจะสงสัยเคลือบแคลงในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราย่อมบัญญัติ คือ บอกว่า ผู้นี้ เกิดในภพภูมินี้หลังจากตายไปแล้ว

สำหรับคนที่ยังมีอุปทาน คนที่มีกิเลสเท่านั้น จึงมีการเกิด แต่ไม่ได้บอก บัญญัติกับคนที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอุปทาน เพราะเมื่อไม่มีกิเลส ไม่มีอุปาทาน ก็ย่อมไม่เกิดและไม่ทรงพยากรณ์ว่าเกิดในที่ใด สำหรับผู้ที่หมดกิเลส หมดอุปาทาน เปรียบดั่งไฟ จะติดได้ก็ต้องมีเชื้อ หากหมดเชื้อแล้ว ก็ย่อมไม่เกิดไฟ ผู้ที่หมดกิเลส หมดอุปาทาน ก็ไม่มีการเกิดขึ้นอีกในภพภูมิใดเลย

วัจฉะปริพาชกจึงทูลถามต่อไปว่า เปลวไฟที่ถูกลมพัดย่อมไปได้ไกล พระองค์ทรงบัญญัติในเรื่องเปลวไฟนี้ว่าอย่างไร ความหมาย คือ เปลวไฟ ที่ลอยไปไกล ดูเหมือนไม่มีเชื้อเลยแล้วอะไรที่ทำให้ไฟติดได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลมย่อมพาเปลวไฟไป ลมนั่นแหละเป็นเชื้อของไฟ เพราะ ถ้าไม่มีลม เปลวไฟก็ลอยไปไม่ได้ ลมจึงเป็นเหตุให้เกิดเปลวไฟและลอยไป วัจฉะทูลถามต่อไปดังที่ผู้ถามยกมากล่าว.

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด สัตว์ย่อมทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึงกายอันใด อันหนึ่งด้วย ก็พระโคดมผู้เจริญ จะทรงบัญญัติอะไรแก่สัตว์นี้ในเพราะอุปาทานเล่า ฯ

ความหมาย คือ ขณะที่บุคคลตายและก็ยังไม่เกิด แล้วอะไรที่เป็นเชื้อ เป็นปัจจัยให้เกิดความตายในขณะนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรวัจฉะ สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึงกายอันใดอันหนึ่งด้วยเราย่อมบัญญัติอุปา ทาน คือ ตัณหานั่นแล

ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้นตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น ฯ ซึ่งผู้ถามได้ถามว่า มีสมัยที่สัตว์ตายแล้วยังไม่เกิดด้วยหรือครับ? เคยได้ฟังมาว่า ตายแล้วเกิดทันที แต่จากพุทธวจนะบทนี้ ทำให้สงสัยว่า มีสมัยที่สัตว์ตายแล้วยังไม่เกิดด้วยหรือ?

ซึ่งในความเป็นจริง จากพระสูตรในส่วนนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงในขณะจิตเดียว คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ในขณะนั้น จุติจิต คือ ขณะที่เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือ ตายนั่นเอง ก็ทอดทิ้งกายในขณะนั้น ขณะนั้นตายจากความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งขณะที่จุติเกิด ขณะนั้น ยังไม่ได้เกิดใหม่ใช่ไหม ครับ คือ ปฏิสนธิจิตยังไม่ได้เกิด เพราะฉะนั้น จึงมีสมัยที่สัตว์ตายแล้วยังไม่เกิด ก็คือ ขณะที่จุติเกิดแล้วยังไม่ได้ดับไป ขณะจุติจิตขณะเดียวเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่ไม่ได้ดับไป เรียกว่า สมัยที่สัตว์ตายและยังไม่เกิด เป็นสมัยที่สัตว์ทอดทิ้งกาย และ ยังไม่เข้าถึงกายอันหนึ่งอันใด เพราะยังไม่เกิดปฏิสนธิจิต เพราะจุติจิตเกิดในสมัยนั้นขณะเดียวที่ยังไม่ได้ดับ ปฏิสนธิจิตจะเกิดซ้อนในขณะที่จุติจิตที่ยังไม่ได้ดับไม่ได้ จึงตาย แต่ยังไม่เกิด ครับ

ซึ่งจุติจิตก็มีตัณหาในอดีตเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการตาย สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตอนท้ายที่ว่า สมัยนั้นตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น ดังนั้น พระสูตร จึงมีความละเอียดลึกซึ้งโดยอรรถะ ซึ่งก็ต้องเป็นผู้ละเอียดว่า พระสูตรนี้ กล่าวถึงสมัย คือ ช่วงเวลา ที่เป็นจิตขณะเดียวที่ยังไม่ได้ดับไป คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ที่ตายไปจากบุคคลนี้ ขณะนั้น ตายแต่ยังไม่เกิด เพราะยังไมได้ดับไป ปฏิสนธิจิตยังไม่เกิด เป็นบุคคลใหม่ จึงมีสมัย ช่วงเวลาในขณะจิตเดียว คือ จุติจิตเกิด เป็นสมัยที่สัตว์ตาย แต่ยังไม่เกิด ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำคัญ คือ เข้าใจถูกเห็นถูก ทุกขณะของชีวิตไม่พ้นไปจากการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ จริงๆ จิตจะเกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะไม่ได้ ต้องทีละขณะ และ เป็นลำดับด้วยดีตามความเป็นไปของจิตด้วย โดยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และเป็นความจริงที่ว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อจุติเกิดแล้วดับไป ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที คือ ปฏิสนธิจิต แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นจิตคนละขณะกัน ไม่ใช่ขณะเดียวกัน

สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเพิ่มเติม คือ ในที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไป เกิดมาแล้วทุกคนก็จะต้องตาย ถ้าจะถามว่า ทำไมเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่ตายไม่ได้หรือ? คำตอบ คือ เป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากว่าชีวิตมีความตายเป็นที่สุด กว่าจะถึงวันนั้น ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ อะไร คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด?

เพราะว่า เกิดมามีความสุข ความสุขนั้นก็หมดไป อาหารอร่อยแต่ละมื้อก็หมดไป รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เราได้ฟัง ได้ยิน ก็หมดไป เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วก็ควรจะเข้าใจความจริงอย่างนี้ว่า ถึงแม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังมีโลกหน้าหรือชาติหน้า ซึ่งต้องเกิดสืบต่อ เหมือนเมื่อวานนี้กับขณะนี้ และพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีต่อจากวันนี้ เพราะยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้เกิด คือ โลภะ ก็ยังต้องเกิดในชาติต่อไป มีชาติหน้าและชาติต่อๆ ไปอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ได้สาระอะไรจากการมีชีวิตอยู่? ที่จะเป็นสาระเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตจริงๆ คือ กุศลธรรมประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 7 ก.พ. 2556

จุติจิตของพระอรหันต์ตายแล้วไม่เกิด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nopwong
วันที่ 7 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
KANATE
วันที่ 8 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผู้ยังไม่พ้น
วันที่ 13 ก.พ. 2556

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ