ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๗๖

 
khampan.a
วันที่  3 ก.พ. 2556
หมายเลข  22436
อ่าน  1,643

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๖]

--- พระพุทธศาสนาทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดปัญญาเป็นของตนเอง แต่ถ้า การกระทำใดๆ ก็ตาม วิธีใดๆ ก็ตาม ที่จะใช้คำภาวนาแบบไหนก็ตาม ไม่ทำให้ เกิดปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจตามความเป็น จริง ก็ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

--- กิจที่จะละกิเลส ไม่ใช่กิจของโลภะ หรือความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนที่เป็นเรา สามารถละได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ

--- พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้งหมดเป็นไปเพื่อเกื้อกูลให้ทุกท่านรู้ตัวว่า ยังมีกิเลสอยู่มากๆ อย่าหลงผิดว่าลดน้อยลงไปเยอะแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่ปัญญา จริงๆ กิเลสจะลดไม่ได้ และถ้าไม่มีการกระทำทางกายทางวาจา กิเลสก็คงยังไม่ปรา- กฏให้รู้ได้ว่าขณะนั้นสะสมอกุศลไว้มากมายเพียงไร

--- ปกติก็จะไม่ค่อยคิดว่าตัวเองร้าย ก็อาจจะคิดว่าเป็นผู้สะสมกุศลมาบ้างมากมาย แต่ขอให้คิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงเตือนให้รู้ว่า แต่ละท่านสะสมอกุศลมามากเพียงไร เช่น ว่าร้ายกัน มีบ้างไหมเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนกันทางวาจา

--- ก่อนที่จะว่าร้ายทราบไหมว่า อกุศลจิตเกิดมากสักเท่าไร ต้องคิดอยู่ในใจแล้ว นาน กว่าจะเปล่งคำที่จะว่าร้าย หรือที่จะเบียดเบียนกันทางวาจาออกมาได้

อกุศลไม่ใช่มีแต่เพียงชั่วขณะที่ว่าร้าย แต่ว่าก่อนนั้นลองพิจารณาดูว่ากี่วัน กี่เดือน

แล้วในขณะที่ว่าร้ายนั้น ทำให้รู้ได้ว่าในขณะนั้นอกุศลที่ตนเองสะสมมามากมายเหลือ

เกิน จนกระทั่งทำให้วาจาไหวเป็นคำที่ว่าร้ายกันได้

ถ้าเพียงแต่คิดจะเจริญเมตตามากๆ แต่กาย วาจาก็ยังก่อทุกข์ให้คนอื่นอยู่บ้างแม้

เพียงเล็กๆ น้อยๆ ขณะนั้นก็แสดงว่า ยังเป็นผู้ไม่ละเอียด แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ก็

ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม แล้วก็เห็นประโยชน์แม้พระธรรมที่ทรงแสดงละเอียดขึ้นๆ

ในทุกเรื่องการอบรมเจริญปัญญา เพื่อไถ่ถอนความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่ง

เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

การไม่พิจารณาพระธรรม เพียงฟังเฉยๆ ไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังสิ่งใดแล้ว ยิ่ง

พิจารณาก็จะยิ่งเข้าใจในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัส ส่วนผู้ใดจะได้ประโยชน์มาก

น้อยจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็ต้องแล้วแต่ว่า ผู้นั้นพิจารณาพระธรรม

มากหรือน้อย เข้าใจมากหรือน้อย ประพฤติปฏิบัติตามได้มากหรือน้อยตามการสะสม

สิ่งที่เป็นประโยชน์ว่า ต้องเป็นกุศลธรรม และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลยนั้น คือ

อกุศลธรรม

ผู้ที่เป็นทุกข์มี และผู้ที่ดับทุกข์แล้วก็มี ซึ่งผู้ที่จะดับทุกข์จะต้องเป็นผู้อบรม

เจริญปัญญาแล้วเท่านั้น จึงจะดับทุกข์ได้ ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาแล้ว ไม่สามารถ

ดับทุกข์ได้เลย

ทุกท่านที่ยังไม่ได้ทอดทิ้งกิเลสทั้งหลาย ก็ยังเป็นผู้ที่มัวเมาในกาม เป็นผู้ที่บ้าใน

รูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

ในขณะที่คนโกรธจัดๆ ลักษณะอาการก็เหมือนคนบ้าที่ไม่ต่างกันเลย และวัน

หนึ่งๆ หรือชาติหนึ่งๆ หรือในอดีต มีใครที่เคยโกรธจัดๆ มากๆ ก็ลองย้อนนึกถึงในกาล

นั้นว่า ลักษณะอย่างนั้นก็เป็นลักษณะของคนที่บ้าโกรธคนอื่นนั่นเอง

ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้วไม่อยากเป็นคนบ้าประเภทหนึ่งประเภทใด ก็มีทางเดียว

ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง

จนกระทั่งสามารถละโรคทางใจ คือ ความทุกข์ต่างๆ ได้ แม้ว่าเมื่อยังมีกายอยู่ ก็ยังมี

โรคกาย แต่ว่าโรคของใจ คือ ความไม่สบายใจต่างๆ ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลงตามกำลัง

ของปัญญาที่พิจารณาธรรม ไม่มีใครปรารถนาทุกข์ แต่ทุกคนมีทุกข์ เพราะฉะนั้นก็ต้อง

รู้ด้วยว่า อะไรเป็นเหตุของทุกข์ เหตุของทุกข์ ก็คือ โลภะ

ควรรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะทำมาหากิน

อะไร ใครจะคิดอะไร ห้ามได้ไหม ยับยั้งได้ไหม มีเหตุปัจจัยเกิดแล้วทำให้คนนี้คิดอย่าง

นี้ คนนั้นคิดอย่างนั้น แต่ทุกคนรู้จักโลภะของตัวเองตามความเป็นจริงก่อน ตามความ

เป็นจริง คือ รู้ว่าโลภะไม่ใช่เรา โลภะมีจริงๆ

บางท่านก็บอกว่า ธรรมมากเกินไป ทำไมมากอย่างนี้ จะเรียนอย่างไรไหว แต่ผู้ที่

เห็นประโยชน์แล้ว ยิ่งรู้ว่า ยิ่งมากยิ่งดี เพราะเหตุว่าเกื้อกูลโดยละเอียดให้พิจารณาทุก

แง่ทุกมุม ทุกด้าน ถ้าไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จะไม่มีผู้ที่แนะนำชี้ทางจะให้ไตร่

ตรองพิจารณาให้ปัญญาเจริญขึ้น

เกิดแล้วดับแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านี้ก็เกิดแล้วดับแล้ว เพราะทุกขณะเป็นธาตุที่เกิด

ดับ

พระคุณเจ้า คือ เพศบรรพชิต คงไม่มีใครเรียกคฤหัสถ์ว่าพระคุณเจ้า, คฤหัสถ์

ย่อมกราบไหว้ในคุณความดีของบรรพชิตที่มีศรัทธาสละอาคารบ้านเรือนออกบวช ซึ่ง

เป็นผู้ที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส

แต่ถ้าบรรพชิตไม่มีคุณความดี คฤหัสถ์ก็คงจะกราบเพียงผ้ากาสาวพัสตร์ ระลึกถึง

พระภิกษุสาวกในอดีต มีพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น

ความดี แม้จะลำบากก็สามารถกระทำได้ แล้วแต่จะเลือก โดยเป็นกุศลธรรมที่

เลือก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร

เป็นกุศลก็ดีอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องให้อกุศลมาพัวพันด้วยล่ะ

บอกว่า จะตั้งใจสะสมความดี ก็ต้องไม่ลืมคำที่ตนเองพูดด้วย

อกุศลทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมอง

ควรเริ่มที่จะคิดดี (ไม่คิดร้าย) คิดเกื้อกูลต่อผู้อื่น

ความเข้าใจพระธรรมทั้งหมด เกื้อกูลให้กุศลธรรมเจริญขึ้น

สิ่งที่นำมาซึ่งความปลาบปลื้มปีติอย่างยิ่ง คือ กุศลธรรม ความเข้าใจพระ

ธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

ปัญญา จงใจให้เกิดตามใจชอบไม่ได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

ไปตามลำดับจริงๆ

มีความสุขมาก ก็สามารถรู้ความจริงได้ มีความทุกข์มาก ก็สามารถรู้ความจริงได้

ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น

ไม่เข้าใจ ไม่ปลอดภัย แต่ถ้าเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ย่อมปลอดภัย

ขณะที่ไม่เข้าใจ อกุศลธรรมที่เป็นภัยก็กลุ้มรุม.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๗๕ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ

มาฆบูชา โอวาทปาฏิโมกข์

โอวาทปาฏิโมกข์ การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้บริสุทธิ์

ก็ต้องเข้าใจค่ะว่า ธรรมลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่เพียงอ่านจะเข้าใจได้เข้าใจเองผิดค่ะ เป็น

เราที่จะไม่ทำบาป หรือว่า เป็นเราที่ทำกุศล เป็นเราที่พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ บาง

คนคิดว่า ขณะที่ไม่ทำบาป เขาก็เป็นคนดีแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องสนใจมากกว่านั้น

เพราะเว้นบาปแล้ว แต่ขณะที่เว้นบาป ยังมีความดีมากกว่านั้นอีก ทำดีหรือเปล่า หรือ

ว่าตลอดชีวิตก็แค่ไม่ทำบาป แต่ไม่ได้ทำดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้ความจริงเลย

ว่าตลอดชีวิตเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถจะให้ความจริงได้

ถ้า..เพียงได้ยินว่า " ไม่ทำบาป " ลึกซึ้งไหมค่ะ ใครก็พูดได้ ใช่ไหมค่ะ แต่รู้ไหมว่า

ขณะที่ไม่ทำบาป ความจริงขณะนั้น คืออะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง

ธรรมจริงที่มีอยู่ตามปกติในชีวิตประจำวัน ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าขณะนั้นๆ เป็น

อะไรไม่เพียงแต่ว่า ไม่ทำบาป ธรรมดาใครๆ ก็พูดได้ ใช่ไหมค่ะ

ไม่ทำบาป ความลึกซึ้งอยู่ที่ขณะนั้น ไม่ทำบาปน่ะ เป็นอะไรหรือแม้ขณะนี้ ขณะ

ที่กำลังฟังธรรมนี้ ขณะนี้เป็นอะไรทรงแสดงความจริงในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น

ธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือจะกล่าวว่าชีวิตประจำวันทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง

ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ตั้งแต่เช้ามานี้ ก็ธรรมทั้งหมด หลากหลาย ทางตาเห็น ทางหู

ได้ยินทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจในขณะที่ไม่ทำบาป แม้ในขณะนี้

หรือขณะไหนก็ตาม ที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจคำสอนของ

พระองค์ว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของ

ใครขณะนี้เกิดแล้วเป็นธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือว่า ขณะนี้

เว้นบาปหรือเปล่า เห็นไหมค่ะ ทุกขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ขณะใดก็ตามที่ไม่มีโลภะ

โทสะ โมหะ หรือว่าอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เป็นบาป อกุศลก็ไม่ได้

กระทำบาปด้วย แต่เป็นอะไร ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ ก็หมายความว่า คนนั้น ยังไม่ได้ยิน

ยังไม่ได้ฟัง คำสอนจริงๆ ของพระผู้มีพระภาค เพราะว่าถ้าเป็นคำสอนจริงๆ ทรงแสดง

ให้เริ่มเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตั้งแต่คำว่า " ธรรม "ไม่ใช่เผินๆ แล้วก็คิดว่า พอ

ได้ยินทุกคนก็เข้าใจ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักธรรม ความจริงพูดอย่างนี้ คนนั้นน่ะรู้จักธรรม

จริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่ได้ยินธรรมก็คิดเอง อย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่า

ก่อนฟังธรรม ท่านเข้าใจว่าธรรมคือ กุศลอย่างเดียว ไม่คิดเลยว่าอกุศลก็เป็นธรรมด้วย

แต่ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งใดที่มีจริง ปรากฎให้รู้ให้เข้าใจได้ แต่สิ่ง

ที่ยังไม่ได้ปรากฎ ยังไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจได้ หรือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงข้อความที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งสิ้น แต่

ว่าจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมก่อน เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลัง ไม่ทำบาป ก็เป็นธรรม ขณะที่

ทำบาปก็เป็นธรรมทุกอย่างในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 3 ก.พ. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บางท่านก็บอกว่า ธรรมมากเกินไป ทำไมมากอย่างนี้ จะเรียนอย่างไรไหว แต่ผู้ที่

เห็นประโยชน์แล้ว ยิ่งรู้ว่า ยิ่งมากยิ่งดี เพราะเหตุว่าเกื้อกูลโดยละเอียดให้พิจารณาทุก

แง่ทุกมุม ทุกด้าน ถ้าไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จะไม่มีผู้ที่แนะนำชี้ทางจะให้ไตร่

ตรองพิจารณาให้ปัญญาเจริญขึ้น

พระคุณเจ้า คือ เพศบรรพชิต คงไม่มีใครเรียกคฤหัสถ์ว่าพระคุณเจ้า, คฤหัสถ์

ย่อมกราบไหว้ในคุณความดีของบรรพชิตที่มีศรัทธาสละอาคารบ้านเรือนออกบวช ซึ่ง

เป็นผู้ที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม น้อมประพฤติตามพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส

แต่ถ้าบรรพชิตไม่มีคุณความดี คฤหัสถ์ก็คงจะกราบเพียงผ้ากาสาวพัสตร์ ระลึกถึง

พระภิกษุสาวกในอดีต มีพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น

ถ้า..เพียงได้ยินว่า " ไม่ทำบาป " ลึกซึ้งไหมค่ะ ใครก็พูดได้ ใช่ไหมค่ะ แต่รู้ไหมว่า

ขณะที่ไม่ทำบาป ความจริงขณะนั้น คืออะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง

ธรรมจริงที่มีอยู่ตามปกติในชีวิตประจำวัน ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าขณะนั้นๆ เป็น

อะไรไม่เพียงแต่ว่า ไม่ทำบาป ธรรมดาใครๆ ก็พูดได้ ใช่ไหมค่ะ

อย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ก่อนฟังธรรม ท่านเข้าใจว่าธรรมคือ กุศลอย่างเดียว ไม่

คิดเลยว่าอกุศลก็เป็นธรรมด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งใดที่มีจริง

ปรากฎให้รู้ให้เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ปรากฎ ยังไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจ

ได้ หรือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงข้อความ

ที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งสิ้น แต่ว่าจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นคำสอนของพระ

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมก่อน เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลัง ไม่ทำ

บาป ก็เป็นธรรม ขณะที่ทำบาปก็เป็นธรรมทุกอย่างในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ. ผเดิม ค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บรรพต
วันที่ 3 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
rrebs10576
วันที่ 3 ก.พ. 2556


...เหตุของทุกข์ ก็คือ โลภะ

บอกว่า จะตั้งใจสะสมความดี ก็ต้องไม่ลืมคำที่ตนเองพูดด้วย

สิ่งที่นำมาซึ่งความปลาบปลื้มปีติอย่างยิ่ง คือ กุศลธรรม ความเข้าใจพระ

ธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 4 ก.พ. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 4 ก.พ. 2556

ในยุคอกุศลธรรมมีกำลัง..กุศลธรรมมีกำลังอ่อนอ่านปันธรรม-ปัญญ์ธรรมแล้วมีสติ..ถึงไม่บ่อยแต่อย่างน้อยก็เกิดในขณะที่อ่านขออนุโมทนาในกุศลวิริยะที่ปันมาให้สม่ำเสมอคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 4 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 4 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
raynu.p
วันที่ 4 ก.พ. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เข้าใจ
วันที่ 4 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
natural
วันที่ 4 ก.พ. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kinder
วันที่ 5 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Jesse
วันที่ 5 ก.พ. 2556

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Boonyavee
วันที่ 6 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 6 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
orawan.c
วันที่ 11 ก.พ. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
wittawat
วันที่ 25 ก.พ. 2556

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนา อาจารย์คำปั่น และทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
boonpoj
วันที่ 6 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ