รู้มาก ๆ เพียงพอหรือยัง

 
เชียงคำ
วันที่  30 ม.ค. 2556
หมายเลข  22418
อ่าน  1,031

ปัญหา ความเป็นพหูสูต คือได้เรียนรู้มาก พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเป็นมงคลประการหนึ่ง แต่ถ้าเราเป็นพหูสูตอย่างเดียวจะเพียงพอหรือไม่? มีอะไรที่มีจะต้องเรียนรู้อีก? พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลบางคนในโลกนี้ เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ เขาไม่รู้ทั่วถึงตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ บุคคลนี้เป็นดุจวลาหก (เมฆ) คำราม แต่ไม่ให้ฝนตก... “.....การก้าว การถอย การเหลียว การแล การคู้ การเหยียด การทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวรของบุคคลบางคนในโลกนี้ ล้วนน่าเลื่อมใส แต่เขาไม่ทราบชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ บุคคล (นี้) เป็นดุจห้วงน้ำตื้นเงาลึก... เป็นดุจหม้อเปล่าที่เขาปิดไว้.... เป็นดุจมะม่วงดิบผิวสุก... เป็นดุจหนูขุดรูแต่ไม่อยู่....”วลาหกสูตรที่ ๖ กุมภสูตร อุทกหรทสูตร อัมพสูตร มูสิกาสูตร จ. อํ. (๑๐๒-๑๐๗)

ตบ. ๒๑ : ๑๓๖-๑๔๖ ตท. ๒๑ : ๑๒๑-๑๒๖

ตอ. G.S. II : ๑๑๐-๑๑๓


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นพหูสูต คือ สดับฟังมากเป็นมงคล แต่ไม่ใช่เพียงฟังมากเท่านั้น แต่ฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่ฟังและที่สำคัญ ฟังเพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ว่าไม่ใช่เรา อันเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส ดังนั้น การฟังเป็นความดี แต่ฟังด้วยความเข้าใจ และ เมื่ออาศัยความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการฟัง ปัญญาก็จะเจริญขึ้นทีละน้อย แต่ยังไม่สามารถประจักษ์ความจริงได้ ดังเช่น พระพุทธพจน์ที่ยกมา คือ ฟังมาก แต่ยังไม่รู้ว่านี้ทุกข์ เป็นต้น เพราะปัญญายังไม่มาก แต่ปัญญาจะมากก็ต้องอาศัยการฟังบ่อยๆ และ ยาว นานนับชาติไม่ถ้วน การฟัง ศึกษาพระธรรมจึงมีอุปการะมาก ในการที่จะถึงปฏิบัติธรรม และถึงการบรรลุธรรมได้ในที่สุด การฟังจึงเป็นมงคล นำมาซึ่งปัญญาและปัญญาก็จะปฏิบัติหน้าที่เอง ถึงการประจักษ์สถภาพธรรม ตามความเป็นจริงครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
daris
วันที่ 30 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิรมิต
วันที่ 30 ม.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปัญญาทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ต้องมาจากปริยัติธรรม คือ ฟัง ศึกษาพระพุทธพจน์ ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นพหูสูต (สดับตรับฟังพระธรรม) ซึ่งจะเห็นได้ว่าพระอริยสา วกทั้งหลาย อาศัยการศึกษาปริยัติธรรมแล้ว จึงถึงความเป็นพระอริยบุคคล จะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวซึ่งกล่าวว่า ปัญญาที่ได้มา ที่ได้เข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม ที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะ ของสภาพธรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากการฟังพระธรรม ไม่สามารถที่จะกล่าวอย่างนี้ได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจในขั้นการฟังเป็นรากฐานที่มั่นคงแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะนำไปสู่ปัญญาในขั้นสูงๆ ขึ้นไปจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ถ้าไม่ฟังจะเอาปัญญามาจากไหน พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้ปัญญา ทุกครั้งที่พระพุทธ เจ้าแสดงธรรมให้กับภิกษุ และ ฆราวาส ทำให้มีดวงตาเห็นธรรมเพราะอาศัยการฟังธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เชียงคำ
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 31 ม.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ต้องรู้จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ก็พอครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 31 ม.ค. 2556
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ