ปัจจัยปรุงแต่งจิตดวงแรก

 
นิรมิต
วันที่  14 ก.ย. 2555
หมายเลข  21727
อ่าน  1,504

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

ทราบว่า นี่อาจจะเป็นอจินไตย แต่อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ตามหาคำตอบมา ก็นานแล้ว แต่ก็ไม่พบคำตอบใดๆ เลย ที่ระบุได้อย่างแจ่มชัด

เท่าที่ทราบ โดยพอจะสรุปได้ก็คือว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย (ดั่งที่อวิชชาเป็นต้นตอ ของทุกสิ่งในปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งอวิชชาย่อมเป็นของมีอยู่แล้ว ถูกต้องไหมครับ เพราะ วิชชาเป็นของต้องอบรม ต้องปรุงแต่งขึ้น จึงจักมีได้ เพราะฉะนั้นในเมื่อ วิชชา ยังไม่ปรากฏ สิ่งที่มีอยู่แต่แรกเลยก็ต้องเป็น อวิชชา

และ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยต่อสังขาร คืออภิสังขาร ๓ แล้วต่อจากนั้นลงมาก็มี จิต เจตสิก รูป จึงเกิดสืบต่อๆ กันมาโดยปัจจัยข้างต้น แต่ว่าโดยอภิสังขาร ๓, อภิสังขาร ๓ ก็จะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มี จิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น แปลว่า ปัจจัยจะให้มีอภิสังขารก็ต้องมี จิต เจตสิก รูป

แล้วปฏิสนธิจิตดวงแรกสุด มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งให้เกิด ในเมื่อ การจะเกิดปฏิสนธิจิต ก็ต้องมีปัจจัยคืออภิสังขารทั้ง ๓ แต่ดวงแรก ก็เกิดได้ และก็ต้องเกิดมาแล้ว ไม่เช่นนั้น ก็ไม่มีดวงปัจจุบัน และดวงต่อๆ ๆ ๆ มา ที่เกิดดับสืบต่อโดยเป็นอนันตรปัจจัยอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น และดวงแรก ปัจจัยคงไม่ใช่อภิสังขาร ๓ เป็นแน่ เพราะก่อนดวงแรกจะเกิด ก็ไม่ได้มีการกระทำกรรมใดๆ เพราะยังไม่เกิดสืบๆ กันมา

เพราะถ้าดวงแรกไม่เกิด ดวงนี้ก็มีไม่ได้ แล้วดวงแรกเอาปัจจัยอะไร ที่ไหน มาทำให้เกิด แต่ก่อนก็คิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ และก็กลัว กลัวว่าถ้าไม่ทราบในเรื่องนี้ กลัวว่า ถ้าปฏิสนธิจิตดวงแรก ที่ไม่ได้เกิดสืบต่อจากดวงก่อนๆ โดยอนันตรปัจจัย ยังมีเกิดอยู่ทุกๆ วัน คือมีสิ่งที่ถูกบัญญัติว่า สัตว์โลกเกิดขึ้นทุกๆ ขณะ (ปฏิสนธิจิต หรือปฏิสนธิวิญญาณ) ด้วยการอาศัยปัจจัยอื่น ที่ไม่ใช่ อภิสังขาร เกิดอยู่เรื่อยๆ (เพราะโดยความเข้าใจ มันก็ต้องมีใช่ไหม ในเมื่อจิตของเราก็มีอยู่)

ขณะนี้ เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เกิดได้ ก็ต้องมีจุดเริ่มต้น ต้องมีดวงแรกแน่ๆ ไม่มี ก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นดวงอื่นๆ ที่ไม่เนื่องกับดวงนี้ก็มี คือจิตของคนอื่นอีกตั้งมากตั้งมาย เพราะฉะนั้น มันจะไม่มีเชียวหรือ ที่ปฏิสนธิวิญญาณจะเกิดอยู่ทุกๆ ขณะ โดยที่ไม่อาศัยอภิสังขาร ๓ เกิดมาเป็นจิตดวงแรกในสังสารวัฏฏ์ของคนนั้นๆ )

ก็กลัวว่า ถ้าอย่างนั้น อบรมจนถึงนิพพานแล้วจะไม่เกิดจริงหรือ หรือนิพพานไปแล้ว อาจจะยังต้องเกิดอีก ด้วยการเกิดแบบไม่ได้อาศัยอภิสังขาร ๓

อย่างนั้นแล้ว จะยังประโยชน์อะไรด้วยนิพพาน ในเมื่อ อาจจะยังต้องเกิดอีก ด้วยการมีปัจจัยอื่นทำให้เกิด ที่ไม่ใช่อภิสังขาร ๓

หรือแม้จะนิพพานแล้ว นิพพานก็ดับกิเลสสิ้น มีวิชชาบริบูรณ์แล้ว พอจุติจิตดับ ก็เป็นอันสิ้นสุดสังสารวัฏฏะของจิตดวงนั้นๆ (หมายถึงจิตที่เกิดดับสืบต่อตลอดสายนั้นในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่ดวงเดียวโดดๆ ไม่เกิดไม่ดับ) แต่ก็มีจิตอื่น ธาตุรู้อื่นที่เกิดขึ้นอีก โดยอาศัยปัจจัยอื่น นอกจากอภิสังขาร ๓

ก็แปลว่า เรา อาจจะไปเกิดเป็นจิตดวงแรกอีก โดยที่ก็ไม่ใช่ดวงที่นิพพาน แต่ก็อาจจะไปเกิดอีก เป็นดวงอื่น ที่ไม่เนื่องกับดวงที่นิพพานแล้ว เพราะดวงที่นิพพานแล้ว ก็ไม่เกิดไม่ดับแล้ว แต่ก็ไปเป็นดวงอื่น ที่ไม่เนื่องกับดวงเก่า อย่างนี้

สุดท้ายนี้ ด้วยความเขลายิ่ง จึงขอถามคำถามนี้ คืออยากจะทราบว่า พระพุทธองค์ ก็ทรงทราบใช่ไหม ว่าปฏิสนธิจิตดวงแรก เกิดแต่ที่ใด เกิดอย่างไร แต่เพียงแค่ ไม่ทรงแสดงไว้เท่านั้น ใช่ไหมครับ แล้วพระอรหันต์ ปรกติ สามารถจะทราบได้หรือไม่ หรือ เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ขอกราบรบกวนท่านผู้รู้ช่วยทำความเห็นของผมให้กระจ่างไปในทางที่สมควรด้วยครับ

ขอกราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การจะรู้ย้อนไปไกลนับชาติไม่ถ้วน ถึงปฏิสนธิจิต ย่อมเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า เท่านั้น แม้แต่ปฏิสนธิจิตดวงแรก เป็นต้น ซึ่ง ความสงสัยของปุถุชน ในความอยากรู้ ก็เป็นธรรมดา แต่ก็รู้ไม่ได้ ถึงรู้ไม่ได้ ก็อยากรู้ เพราะ ไม่สามารถจะกั้นความอยากรู้ ที่เป็นกิเลส ที่เกิดขึ้นแล้วได้เลย นี่แสดงถึงความเป็นธรรม และเป็นธรรมดา และอนัตตา ที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ครับ

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งหมด แต่พระองค์ทรงรู้ว่า สิ่งใดที่จะทรงแสดง แล้วทำให้สัตว์โลกเกิดปัญญา ความเห็นถูก พระองค์ก็ทรงแสดงเรื่องนั้น แต่ ส่วนใดที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว ไม่สามารถที่จะทำให้ สัตว์โลกเกิดปัญญา แต่กลับจะทำให้เกิดกิเลส เกิดความสงสัยไม่รู้จบ ก็ไม่ทรงแสดง เพราะอะไร

เพราะแม้แสดงว่า ปฏิสนธิจิตดวงแรกเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ปุถุชนผู้มากไปด้วยกิเลส และถูกอวิชชาปิดบัง ก็ยังสงสัยอยู่อีกนั่นเองว่าจริงไหม เมื่อไม่เชื่อก็ย่อมกล่าวตู่ ว่าพระพุทธเจ้าพูดไม่จริงได้ โทษตกกับใครครับ ก็กับตัวผู้พูด ผู้คิด ติเตียนพระพุทธเจ้าได้ เพราะ คิดไม่ตรงกับใจของตน และเพราะ ตนเองก็ไม่ได้รู้ตามนั้น เพราะ ไม่มีปัญญาประจักษ์ตามสภาพธรรมนั้น ดังที่พระองค์รู้

เมื่อเป็นดังนี้ พระพุทธเจ้าจะตรัสกับผู้ถามเรื่องโลก ว่าโลกเกิด เริ่มต้นอย่างไร โลกมีที่สุด หรือ ไม่มีที่สุด พระพุทธเจ้าจะตรัสตอบว่า เธอล่วงเลยคำถามแล้ว คือ ล่วงเลยคำถามที่ควรถาม และเกินความสามารถของเธอที่ควรรู้ ควรเข้าใจ เพราะรู้ไป ก็เพิ่มความสงสัย ก็จะสงสัยว่าจริงไหมอีก นั่นเอง เพราะไม่ได้รู้ตามพระองค์ ครับ

และที่สำคัญ คำถามเหล่านั้น ไม่เป็นเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ให้เกิดกุศล เกิดปัญญา พระองค์จึงไม่ทรงตรัสตอบปัญหาเหล่านี้ และไม่ทรงแสดงพระธรรมในเรื่องเหล่านี้ แต่พระองค์ทรงแสดงธรรม คือ เรื่องที่เป็นไปในความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด และขัดเกลากิเลส เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา เรื่องเหล่านี้ พระองค์จึงทรงแสดงและตอบคำถาม ครับ

เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดา ที่จะยังสงสัยอยู่ในเรื่องเหล่านี้ เพราะ เมื่อมีกิเลสก็ทำให้สงสัย แต่ประโยชน์ คือเข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้ความสงสัยก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมไม่ใช่เรา ความเข้าใจตรงนี้เอง ที่จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความสงสัย

และสุดท้าย เมื่อดับกิเลสหมด ก็จะหมดความสงสัย และหมดความอยากรู้ เพราะ ไม่มีกิเลส คือ ความอยากรู้ (เกิดขึ้นด้วยกิเลส) และ ก็จะไม่สงสัยว่า จะเกิดอีกหรือไม่ เมื่อดับกิเลสหมด เพราะปัญญาที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นเอง จะเป็นตัวบอก และ เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในใจของคุณ ครับ

เมื่อประจักษ์สภาพธรรมตามนั้น

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นิรมิต
วันที่ 19 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาสาธุ อ.ผเดิม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 23 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ