กาลสมัยที่อยู่ในช่วงพุทธธันดร .

 
utis
วันที่  26 ส.ค. 2555
หมายเลข  21616
อ่าน  4,290

กาลสมัยที่อยู่ในช่วงพุทธธันดร จะไม่มีโอกาสได้ยินคำว่าไม่ใช่เราเลยใช่ไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า พุทธันดร (ช่วงเวลาที่โลกว่างพระพุทธศาสนา) คือ ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสูญสิ้นแล้ว และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ

ในกาลสมัยที่เป็นพุทธันดร คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น และพระศาสนาอันตรธานไปหมดแล้ว เป็นช่วงที่ว่างจากพระพุทธศาสนา ช่วงเวลานั้น จะมีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ธรรมได้ด้วยพระองค์เอง แต่ไม่สามารถจะแสดงธรรมให้ผู้อื่นได้รับฟังได้ เพราะ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีปัญญาเหมือนพระพุทธเจ้า ที่จะสามารถบัญญัติคำ ให้เหมาะสม ที่จะใช้ให้ตรงตามสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้

ดังนั้น กาลสมัยที่อยู่นอกเหนือพุทธธันดร คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีพระพระพุทธศาสนา ก็จะไม่มีคำสอนที่แสดงในเรื่องของ วิปัสสนา ในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา เพราะ เรื่องเหล่านี้ จะมีคำสอนเหล่านี้ได้ ก็เพราะ อาศัยการอุบัติขึ้น พระพุทธเจ้าและทรงแสดงธรรม ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ครับ

ช่วงเวลาที่ว่างจากพระพุทธศาสนา จึงไม่มีคำสอนในความเป็นอนัตตา คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล จึงไม่มีโอกาสได้ยินคำว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลเลย ไม่ได้ยินแม้คำว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

ดังเช่นในเรื่องของพระเจ้าปุกกุสาติ ที่ท่านแสวงหา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าสมณโคดม อุบัติขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีการแสดงธรรมถึงเมืองของพระองค์ พระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระสหาย กับ พระเจ้าปุกกุสาติ พระเจ้าพิมพิสาร บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ส่วนพระเจ้าปุกกุสาติ อยู่เมืองตักกศิลา ยังเป็นปุถุชน พระเจ้าปุกกุสาติส่งเครื่องบรรณาการ คือ ผ้า อย่างดีเลิศ พระเจ้าพิมพิสาร ประสงค์จะส่งเครื่องบรรณาการกลับไป คือ พระรัตนตรัย พระองค์ได้ถามว่า ที่นคร คือ เมืองตักกศิลาของท่าน มีพระรัตนตรัยหรือไม่ อ่านข้อความพระไตรปิฎกโดยตรง ครับ

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 352

ก็ขึ้นชื่อว่า รัตนะ ที่เสมอด้วยพุทธรัตนะย่อมไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก. เพราะฉะนั้น จึงทรงพระราชดำริว่า เราจักส่งรัตนะที่ไม่มีอะไรเสมอเท่านั้น แก่พระสหายของเรา จึงตรัสถามพวกพ่อค้าชาวนครตักกศิลา ว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย รัตนะ ๓ อย่างนี้ คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ นย่อมปรากฏในชนบทของพวกท่านหรือ.

ข้าแต่มหาราช แม้เสียง ก็ไม่มีในชนบทนั้น ก็การเห็น จักมีแต่ที่ไหนเล่า.


จะเห็นนะครับว่า ไม่ต้องกล่าวถึงการเห็น แม้เสียง ที่พูดว่า พระรัตนตรัย ก็ไม่มี ซึ่ง ต่อมา พระเจ้าพิมพิสาร ส่งแผ่นทองคำ เขียนคุณพระรัตนตรัย พระเจ้าปุกกุสาติออกบวช เมื่อได้อ่าน และ ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า บรรลุเป็นพระอนาคามี และ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นี่คือ คุณของพระธรรม และความเป็นมิตรแท้ ที่ให้ความเข้าใจ คือปัญญาครับ แต่ก็ให้เห็นตามความเป็นจริง แม้เสียงของพระธรรม ก็ยาก

นี่แสดงถึง ความยากของการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า การยากที่จะได้ฟังพระธรม เพราะ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้โดยยาก เพราะฉะนั้น สมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสนา จึงไม่มีคำว่า ไม่มีเรา ไม่มีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีโอกาสได้ยินพระธรรมของพระพุทธเจ้า มีแต่ ผู้ที่รู้ด้วยตนเอง รู้ถึงความไม่มีเรา แต่ไม่สามารถสอน บัญญัติ แสดงคำเหล่านั้นได้ ครับ จึงควรเห็นถึง ความมีค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้ฟังพระธรรมในชาติปัจจุบัน ของชีวิตที่เหลืออยู่ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 26 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สมัยนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังดำรงอยู่ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ว่างจาก พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นช่วงเวลา ที่ยังมีโอกาสได้ฟังความจริง ที่เป็นธรรม อันแสดงถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ก็ต้องเฉพาะผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เห็นประโยชน์ของ พระธรรม จึงมีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้อบรมเจริญปัญญาต่อไป

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ฟังพระธรรมเหมือนกันหมด ขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

ควรที่จะได้พิจารณาว่า ชีวิต ของแต่ละบุคคลที่กำลังดำเนินไปในแต่ละวัน แต่ละขณะนั้นเป็นความไปของนามธรรมและรูปธรรม ที่เกิดดับสืบต่อกันทุกๆ ขณะ ในชาติหนึ่งๆ , สำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ความตายเป็นสิ่งที่ธรรมดาที่สุด ไม่มีใครสามารถหลีกหนีพ้นได้ แต่สิ่งที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อตายจากเป็นมนุษย์แล้ว จะไปเกิด ณ ที่ใด? เพราะว่า ถ้าหากได้ไปเกิดในถิ่นหรือในที่ที่มีพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และมีโอกาสได้เจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จะไม่หวั่นกลัวแต่ประการใดเลย

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าตายจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี กล่าวคือ อบายภูมิ ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสได้เจริญกุศลประการใดๆ อย่างในภูมิมนุษย์นี้เลย นั้น กล่าวได้ว่า น่ากลัวที่สุด พร้อมทั้งน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ตัดโอกาสแห่งการเจริญขึ้นของกุศลธรรม

แต่ ขณะนี้ ก็ได้เกิดมาเป็น มนุษย์ ที่ได้ยากแสนยาก ได้เกิดในถิ่นที่ ยังมีพระธรรมคำสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ดำรงอยู่ สามารถที่จะรองรับพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ได้ ก็ควรที่จะได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

เวลาของแต่ละบุคคล เหลือน้อยเต็มทีแล้ว จึงไม่ควรที่จะล่วงเลยขณะอันมีค่า และหาได้ยาก อย่างนี้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พร้อมเสมอ
วันที่ 27 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 27 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 29 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
anong55
วันที่ 30 ส.ค. 2555

กรุณาอธิบาย ช่วงพุทธธันดร เป็นช่วงเวลามากน้อยอย่างไร

พระผู้มีพระภาค ได้กล่าวไว้หรือไม่

ขอบพระคุณ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 30 ส.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 6 ครับ

มีครับ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า แผ่นดิน สูงขึ้นจากเดิม ๑๖ โยชน์ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ระหว่างพระพุทธเจ้ากัสสปะ และ พระพุทธเจ้าสมณโคดม แต่ พุทธันดรหนึ่งอาจไม่เท่ากัน เพราะ บางช่วงเวลา ก็อาจไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติเลย หลายแสนกัปป์ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ