สอบถามหน่อยครับ

 
ha0000ha
วันที่  23 ก.ค. 2555
หมายเลข  21456
อ่าน  942

สงสัยระหว่าง คำว่าอยากได้ กับคำว่าอยากลักครับ

- พระเห็นพระอีกรูปหนี่งบิณฑบาตแล้วได้แต่ของดีๆ เลยอยากได้บ้าง และเห็นนมขวดหนึ่งวางอยู่ซึ่งเป็นของพระรูปนั้น เลยหยิบขึ้นมาแซวพระเล่นๆ ว่าสายที่ท่านบิณฑบาตนั้นได้แต่ของดีๆ นะครับ แล้วก็วางลง แต่ไม่ได้คิดอยากลักขโมยมาเป็นของตน คิดแต่อยากได้บ้าง อยากทราบว่าตอนนั้นพระมีความคิดอยากได้ก็จริง แต่ไม่มีไถยจิตคิดลักขโมย ถึงจะหยิบจนของออกจากฐานขึ้นมา ก็ไม่ต้องอาบัติปาราชิกใช่หรือไม่ ผมเข้าใจถูกไหมครับ

- สมมติอีกเหตุการณ์หนึ่งนะครับ เป็นฆราวาสไปเดินชอปปิง แล้วเจอเสื้อตัวหนึ่งเกิดความอยากได้ขึ้นมาเลยหยิบขึ้นมาดูจนออกจากฐาน แบบนี้เรียกว่าขโมยรึเปล่าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ควรพิจารณาความละเอียดของจิต แม้ โลภะ ความติดข้องก็มีหลายระดับ ตามระดับของกิเลส ความอยากได้ ที่เป็นโลภะ ระดับหนึ่ง มีจริง อยากได้ แต่ความอยากได้ ก็มีทั้งอยากได้ด้วยวิธีที่สุจริต ที่ไม่ใข่การขโมย และ ด้วย วิธีที่ทุจริต ที่เป็นการลักขโมย

คนนี้อยากได้ เพียงอยากได้ แต่ไม่ได้มีจิตที่ทุจริตที่คิดจะลักขโมย ก็เป็นโลภะอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีกำลัง ถึงจะคิดทุจริต คิดจะลัก กับ โลภะที่อยากได้ของ และคิดวิธี ด้วยทางทุจริตที่จะลัก ก็เป็นโลภะที่มีกำลังกว่าที่คิดด้วยทุจริต

เพราะฉะนั้น ในกรณีที่ผู้ถามยกมานั้น อยากได้ แม้จะหยิบของนั้นเคลื่อนไป แต่การอยากได้นั้น เพียงอยากได้ แต่ ไม่ใช่จิตคิดจะลัก จึงไม่ต้งอาบัติปาราชิก ครับ เพราะ สำคัญว่า มีไถยจิต จิตคิดจะลักขโมย หรือไม่เป็นสำคัญ

- สมมติอีกเหตุการณ์หนึ่งนะครับ เป็นฆราวาสไปเดินชอปปิง แล้วเจอเสื้อตัวหนึ่งเกิดความอยากได้ขึ้นมา เลยหยิบขึ้นมาดูจนออกจากฐาน แบบนี้เรียกว่าขโมยรึเปล่าครับ

เช่นเดียวกัน ตามที่กล่าว ในเรื่อง จิตที่อยากได้ กับ จิตที่อยากได้ด้วยทุจริตคิดจะลัก ต่างกัน หาก ไม่มีเจตนาขโมย เพียงหยิบมาดูเพราะความชอบ ติดข้อง อยากได้ ก็ไม่เป็นอทินนาทาน ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ha0000ha
วันที่ 24 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ ^^

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โลภะ คือ ความติดข้อง ความต้องการ ความอยาก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ทุกคนมีในขณะนี้ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่บุคคล โลภะ เกิดกับใคร ไม่เป็นประโยชน์เมื่อนั้น เพราะเป็นอกุศลธรรม,

โลภะ มีหลายระดับขั้น กล่าวคือ มีทั้งโลภะที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น และ โลภะที่มีกำลังมาก หรือโลภะเกินประมาณ เป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรม มีการลักขโมย เป็นต้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สามารถทำให้ผู้ศึกษาได้พิจารณา ขัดเกลากิเลสกุศลของตนเองได้อย่างละเอียด เพราะเหตุว่า ทรงชี้ให้เห็นโทษของกุศลตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นได้

ดังนั้น การฟัง การศึกษาพระธรรม จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ตามลำดับ เพราะปัญญาเท่านั้น ที่จะดับกิเลสได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ