ตัวอย่างผู้หลุดพ้นด้วยสมาธินิมิต

 
อนุจร
วันที่  22 ก.ค. 2555
หมายเลข  21447
อ่าน  1,830

จากวิมุตติสูตร ข้อ ๕ หลุดพ้นด้วยสมาธินิมิต

ขอผู้รู้ช่วยกรุณายกตัวอย่างของเหตุการณ์เรื่องราวของการหลุดพ้นด้วยสมาธินิมิตที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกให้ด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สมาธินิมิต มุ่งหมายถึง การเจริญสมถภาวนา ที่เป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ใน กรรมฐาน ๔๐ ที่เป็นสมถภาวนา ซึ่ง การเจริญเพียงสมถภาวนาเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย คือ ไม่สามารถถึง วิมุตติ ที่เป็นการหลุดพ้นจากกิเลสได้ แต่ต้องอาศัยการเจริญวิปัสสนาคือ การู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาของสภาพธรรม

เพราะฉะนั้น ในสมัยพุทธกาล ก็มีผู้ที่อบรมเจริญสมาธินิมิต หรือ เจริญสมถภาวนา ควบคู่กับการเจริญวิปัสสนาด้วย และได้บรรลุธรรม แต่ บรรลุเพราะ วิปัสสนา ด้วยการพิจารณาองค์ฌาน การพิจารณา วิปัสสนาเกิดรู้ลักษระขององค์ฌาน ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ครับ

ซึ่งตัวอย่าง ก็มี ท่านพระมหาปันถก ได้ฌาน และ บรรลุธรรม ท่านจูฬบันถก ได้ฌาน บรรลุธรรม เป็นต้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป) ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าหากว่าไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้ มีแต่จะสะสมความไม่รู้ต่อไป ไม่สามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคลได้

แต่ถ้าหากเริ่มจากการฟัง ด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ก็เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้ปัญญาเจริญขึ้น สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ได้ สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นว่า ขณะนี้ เป็นธรรม และธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ โดยไม่ปะปนกัน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนในสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ได้เลย ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจนี้ คือ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่เริ่มสะสมตั้งแต่ในขณะนี้จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจเลย มีให้ศึกษาอยู่ขณะจริงๆ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย

และที่สำคัญ แต่ละบุคคลสะสมอัธยาศัยมาไม่เหมือนกัน แม้จะเจริญสมถภาวนาถ้าไม่ได้อบรมเจริญวิปัสสนาที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถรู้ธรรมตามความเป็นจริง และไม่ใช่หนทางที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ด้วย แต่ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนาด้วย และ เจริญวิปัสสนา ด้วย ย่อมสามารถเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้ เนื่องจากมีการอบรมเจริญวิปัสสนาที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะองค์ฌานต่างๆ นั้น ก็เป็นธรรมที่มีจริงๆ เป็นฐานหรือที่ตั้งให้สติปัญญารู้ตามความเป็นจริงได้ หรือ แม้ไม่ได้อบรมเจริญสมถภาวนา แต่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงที่เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนา ก็สามารถดำเนินไปถึงซึ่งการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ เพราะหนทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ดับกิเลส มีทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมเจริญปัญญา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Kalaya
วันที่ 21 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ