การปฎิสัมพันธ์ ระหว่างจิตสองดวง เกิดจริงหรือไม่ เกิดอย่างไรครับ

 
tanapat
วันที่  14 ก.ค. 2555
หมายเลข  21412
อ่าน  3,326

จิตมีสภาวะเกิดและดับ แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง ในชีวิตประจำวัน คนสองคนมีปฏิสัมพันธ์กัน คือเรื่องจริงหรือเป็นสมมติ แล้วจิตสองดวงเกิดปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิตที่เกิดขึ้น และดับไป และ จิตใหม่เกิดขึ้น มีความสัมพันธ์กัน โดย เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน หากไม่มีจิตเกิดขึ้น ก็จะไม่มีจิตอีกดวงเกิดขึ้นต่อ เพราะฉะนั้น จิตที่ดับไปเป็นปัจจัยโดย อนันตรปัจจัย คือ เป็นปัจจัยให้จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้น เป็นต้น ครับ

เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดขึ้นและดับไปดวงแรก ย่อมเป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ได้หลายปัจจัย ครับ ก็มีความปฏิสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน ตามอำนาจของปัจจัยต่างๆ ซึ่ง ก็เป็นจิตที่สมมติขึ้นของบุคคลนั้นเอง ไม่เกี่ยวกับจิตของคนอื่นๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kinder
วันที่ 16 ก.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 16 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องเริ่มที่ความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ ว่า จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน แต่ละบุคคลก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) , เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์อะไร) เพราะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาซึ่งยังดับไม่ได้ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป

ประการที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์

ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต (รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย) และที่สำคัญ จิต ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีที่เกิด มีอารมณ์ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น เป็นการปฏิเสธความเป็นตัวตนอย่างสิ้นเชิง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
tanapat
วันที่ 18 ก.ค. 2555

จิต เกิดและดับตลอดเวลา แต่ละคนจะอยู่แต่ในโลกของตน โลกของอายตนะทั้ง ๖ โลกของจิต ไม่มีตัวตนเกี่ยวข้อง แต่เมื่อคนสองคนมาพบกัน จิตสองดวงจากสองโลกมาพบกันเมื่อจิตเห็นเกิด อาจตามด้วยจิตคิด และต่อไปที่กายกรรม การพูดคุยสนทนา การรับรู้ รับฟัง การเห็น การเข้าใจ ล้วนเป็นสิ่งสมมติใช่หรือไม่ครับ และทั้งหมดเกิดและดับทันที ไม่มีอะไรเหลือ ฉะนั้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างจิตทั้งสองดวง เกิดจากกิเลสจากอกุศลจิตทั้งสิ้นใช่หรือไม่ครับ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 23 ก.ค. 2555

แท้ที่จริงแล้ว มีเพียง จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นทำกิจของตนๆ และดับไป ตามเหตุปัจจัย (ซึ่งมีความละเอียด และหลากหลายมาก) และจิตที่เกิดขึ้นดับไปนั้น ยังคงสะสมเป็นปัจจัยสืบต่อในจิตขณะต่อไป จึงทำให้มีอุปนิสัยต่างๆ กัน ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นกระทบสัมผัส สิ่งที่ดี และไม่ดีต่างๆ กัน รวมถึงมีความคิดที่ดี และไม่ดี ต่างๆ กัน

ผู้คนมากมายที่เราพบเจอ ก็เป็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ที่หลากหลายต่างๆ กัน แม้แต่คำพูด วาจาไพเราะ หรือคำตำหนิ ว่าร้าย ก็เป็นเพียงเสียงที่เกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็ดับไป แล้วก็คิดถึงเสียง หรือ สีนั้นๆ ต่อ การกระทำต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็น จิต เจตสิก และรูปต่างๆ ที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นไปทั้งสิ้น แต่ละคนจึงอยู่ในโลกของตน ตามสภาพธรรมที่เกิดขึ้นให้รู้ได้ทั้ง ๖ ทาง ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใคร มีแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรม ...

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tanapat
วันที่ 1 พ.ค. 2556

จากวันนั้นที่ผมโพสต์คำถามไว้ อ่านคำตอบยังงงๆ และไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงเพียรฟังธรรมต่อเนื่องมาเรื่อยๆ คำถามและคำตอบตั้งแต่วันนั้น เมื่อมาได้อ่านในวันนี้ ความรู้ความเข้าใจต่างกันมาก สาธุ ... น่าจะเป็นผลจากการฟังธรรม อย่างนี้สินะที่เรียกว่า "สั่งสม"

กราบขอบพระคุณครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ