การถวายผ้าไตร

 
kinder
วันที่  24 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21299
อ่าน  33,871

ขอความเห็นเรื่องการถวายผ้าไตรด้วยครับ

กราบขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระภิกษุ เป็นเพศบรรพชิต เป็นเพศที่สูงกว่าเพศคฤหัสถ์ พระภิกษุ เป็นเพศที่มีความแตกต่างจากคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนอย่างสิ้นเชิง แตกต่างโดยสรีระ ที่จะต้องมีการปลงผมและหนวด ที่อยู่อาศัยก็แตกต่างกัน เครื่องนุ่งห่มก็ต่างกัน เครื่องใช้ต่างๆ ก็ต่างกัน ดังนั้น สภาพชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปถึง ปัจจัยเครื่องอาศัยที่จะทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ ก็จะต้องเหมาะสมกับความเป็นบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสเป็นอย่างยิ่ง มีความจริงใจที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต

เครื่องนุ่งหุ่มของพระภิกษุ เรียกว่าไตรจีวร (ผ้า ๓ ผืน) ได้แก่

- ผ้าอันตรวาสก (ผ้านุ่ง)

- ผ้าอุตตราสงค์ (ผ้าห่ม หรือ ที่นิยมเรียกว่า ผ้าจีวร) และ

- ผ้าสังฆาฏิ (เป็นผ้าห่มซ้อน)

อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธา ก็สามารถที่จะถวายไตรจีวรแก่พระภิกษุได้ โดยไม่มีพิธีการอะไรเลย เพียงจัดหาผ้าแล้วน้อมเข้าไปถวายแก่พระภิกษุเท่านี้ ก็สำเร็จประโยชน์แล้ว ทั้งหมดนั้นก็เพื่อประโยชน์แก่พระภิกษุจะได้ใช้สอยตามพระวินัยต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไตรจีวร หรือ ผ้าไตร เป็นชื่อเรียกผ้านุ่งผ้าห่มที่พระสงฆ์ใช้สอย หมายถึงผ้า ๓ ผืน ซึ่งมีทั้งผ้านุ่งและผ้าห่ม อันได้แก่สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) , อุตราสงฆ์ (ผ้าจีวรสำหรับห่ม) , และอันตรวาสก (สบงสำหรับนุ่ง) แต่นิยมเรียกรวมกันว่า ไตรจีวร โดยไตรจีวรเป็นปัจจัยหรือบริขารของพระสงฆ์อย่างหนึ่งในจำนวน ๘ อย่าง

สำหรับในสมัยพุทธกาล คฤหัสถ์จะถวายผ้าแก่บรรพชิต ส่วนใหญ่จะเป็นผ้าขาว บางท่านก็ถวายผ้าที่ตนเองใช้ห่มอยู่ เช่น เอกสาฎกพราหมณ์ หรือนางสามาวดีและหญิงบริวาร ๕๐๐ เป็นต้น ก็ถวายผ้าที่ตนห่มอยู่ แต่เมื่อพระภิกษุท่านรับไปแล้ว ท่านต้องทำการตัด เย็บ ย้อม ให้ได้ความยาว จำนวนชิ้นหรือผืนและสี เป็นต้น ให้เป็นไปตามพระวินัยบัญญัติ แต่เมื่อกาลผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน มีพ่อค้ากระทำจีวรสำเร็จรูปวางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ผู้ที่มีศรัทธาจะถวายผ้าก็ซื้อสำเร็จรูปถวายได้เลย แต่ควรเป็นผู้ละเอียดที่จะดูว่า สี ความยาว จำนวนชิ้น และผ้านั้นมีการตัดเย็บถูกต้องหรือไม่ เพราะทราบมาว่า บางแห่งทำการเย็บผ้าโดยไม่ได้ตัด เพียงพับและเย็บให้เห็นเหมือนตัดเย็บก็มี ส่วนจำนวนขันฑ์ หรือ ผืน นั้น ตามพระวินัยก็จะมีระบุจำนวนไว้ ๕ ขันฑ์ ๗ หรือ ๙ ขันฑ์ เป็นต้น

อนึ่งในพระวินัยไม่ห้ามจำนวนการรับผ้าไว้ คือสามารถรับได้จำนวนมากๆ แต่เมื่อรับไปแล้วต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัยภายใน ๑๐ วัน และใช้บริหารอยู่เพียง ๓ ผืน คือ ผ้านุ่ง ๑ ผ้าห่ม ๑ ผ้าห่มซ้อน ๑

ดังนั้น เมื่อจะใช้ผ้าผืนใหม่ก็ต้องสละผ้าผืนเก่า ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

ปัจจุบัน มีการถวายผ้าไตร โดยเป็นการเอาเงินหยอดตู้ และ เอาผ้าไตรจีวรเดิมถวายเวียนไปมา อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ เป็นการเรี่ยไรเงินจากทางวัด การถวายผ้าไตร จึงจะต้องเป็นเรื่องที่ทำให้ถูกต้องด้วยครับ โดยที่ไม่ใช่เพียงหวังแต่บุญ แต่ขาดความเข้าใจ ก็จะเป็นเหตุให้พระศาสนาเสื่อม อันตรธานไปได้อย่างรวดเร็ว

เพราะฉะนั้น หากจะถวายผ้าไตร ก็ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์กับผู้รับเป็นสำคัญ และทำให้ถูกต้อง โดยพิจารณาว่า ผ้าไตรที่จะถวายถูกต้องไหม และ ควรซื้อมาเอง ไม่ควรไปซื้อจากที่ทางวัด ที่เวียนวางไว้ และ มอบกับพระภิกษุ และที่สำคัญ ก็ควรพิจารณาด้วยว่า ทางวัดนั้น หรือ พระภิกษุนั้นขาดแคลนผ้าไตรจริงหรือไม่ เพราะ หากเป็นวัดใหญ่ ผ้าไตร ก็มีเหลือมากมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หากคิดถูกด้วยไม่ใช่ต้องการบุญ ก็ควรถวายสิ่งของที่เหมาะสมกว่า ที่ขาดแคลน หรือ ต้องใช้ประจำ สำหรับวัดใหญ่ก็ได้ เช่น ไปเลี้ยงเพล เลี้ยงอาหาร กับพระภิกษุสงฆ์ หรือ ยารักษาโรค ที่เป็นยาที่มักไม่ค่อยมีคนถวาย ก็จะเป็นประโยชน์กับทางพระภิกษุมากกว่า ครับ การเลือกถวายในสิ่งที่เหมาะสม ย่อมเท่ากับว่า มีปัญญา และ รักษาพระศาสนาไว้ แม้จะไม่ต้องการบุญ แต่ก็เป็นบุญแล้วในขณะนั้น อันประกอบด้วยปัญญา เป็นสำคัญ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

การเจริญกุศล ทำบุญ ก็ต้องพิจารณาด้วยปัญญา ว่าอะไรควรไม่ควร และที่สำคัญ กุศลไม่ใช่มีเพียงขั้นทานเท่านั้น ทั้งกุศลขั้นศีล ขั้นการอบรมปัญญา มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ควรอบรมเจริญ ปัญญาที่เจริญขึ้น จากการฟังพระธรรม ย่อมจะทำให้กุศลประการต่างๆ เจริญ และ เป็นกุศลที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะปัญญาที่เกิดขึ้น ในการพิจารณา ย่อมจะทำให้มีการกระทำถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งยังรักษาพระศาสนา รักษาพระภิกษุงสงฆ์ และรักษาใจของตนเอง ให้ไม่ตกในอำนาจของโลภะ ความต้องการบุญ แต่ ทำให้เจริญในคุณความดี อันมีปัญญา ความเข้าใจพื้นฐาน เป็นสำคัญ

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรเจริญ และ สังคมขาดไป คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ทำให้มีการกระทำต่อพระศาสนาไม่ถูกต้อง ที่สำคัญ ปัญญา ความเห็นถูก อันเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำที่ถูกจะเจริญไม่ได้เลย หากไม่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
edu
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

กราบขอบคุณอาจารย์ทั้งสองมากครับ

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 28 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
lovedhamma
วันที่ 24 ส.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ