ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๔๑

 
khampan.a
วันที่  3 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21215
อ่าน  1,471

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑]

เว้นจากการฟังพระธรรมเสียแล้ว การบรรลุอริยสัจจธรรมของพระสาวกทั้งหลาย จะมีไม่ได้เลย เพราะสมบัติแก้วแหวนเงินทองจะทำให้บรรลุอริยสัจจธรรมไม่ได้ แต่ ว่าการฟังพระธรรม การเข้าใจพระธรรม เป็นเหตุที่จะทำให้บรรลุอริยสัจธรรมได้

ไม่เข้าใจขันธ์ (สภาพธรรมทีี่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า เกิดแล้วดับ) ว่าเป็นขันธ์ ก็เลยยึดถือขันธ์ว่าเป็นตัวตน ทั้งๆ ที่ขันธ์โดยสภาพแล้วย่อมต้องปรากฏโดยปรมัตถ์ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เป็นรูปเพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพรู้ สีสัน ต่างๆ ที่กำลังปรากฏไม่ใช่สภาพรู้

ควรรู้อกุศลของตนเอง ผู้ที่มีปัญญาย่อมพิจารณาเห็นอกุศลของตนเอง แล้วก็ เห็นโทษของอกุศลธรรมนั้นๆ และขวนขวายที่จะดับอกุศลธรรมนั้นๆ ด้วย

ผู้ที่พิจารณาธรรม ย่อมเห็นอวิชชาของตนเอง คือ เห็นความไม่รู้ของตนเอง ที่ทำให้ยังมีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทุกๆ วัน ก็เหมือน กับการกินเหยื่อทุกวัน แล้วก็จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ชาติ ชรา มรณะ ไม่สิ้นสุด

ทุกคนมีกิเลส แต่ก็ยังไม่เห็นว่า เป็นของหนัก จนกว่ากิเลสนั้นจะกลุ้มรุมวันหนึ่ง วันใด ทำให้มีความกลุ้มใจเป็นกำลัง ขณะที่กิเลสอกุศลเหล่านั้นเป็นของหนัก ก็ทำลาย จิตใจในขณะนั้น ทำให้จิตใจทรุดโทรม ไม่เบิกบานร่าเริง ทำให้เศร้าหมอง แล้วก็เป็น ทุกข์อยู่นาน ตลอดเวลาที่อกุศลเหล่านั้นครอบงำ

ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ ก็ไม่สามารถจะเยียวยาและถอน ลูกศร คือ กิเลสออกได้ นอกจากพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้แล้ว

ถ้ามีผู้ที่ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน แล้วจะใจจืดใจดำ หรือว่าจะเป็นผู้ที่มีเมตตา ปฏิสันถารต้อนรับ?

ทุกคนไม่ควรที่จะลืมคิดถึงความตาย (เพราะเกิดมาแล้วต้องตาย) ซึ่งจะเป็น ทางทำให้ใช้ทรัพย์ในทางที่ถูก และในทางที่เป็นประโยชน์

ถึงใครจะสรรเสริญสักเท่าไร ผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ก็จะรู้ได้ว่า กิเลส ของตนเองนั้นไม่ได้หมดไป เพราะคำสรรเสริญนั้นๆ ได้เลย

การที่จะดับกิเลสนั้นเป็นสิ่งที่ยาก ในชีวิตประจำวันต้องเป็นผู้ที่ตรง และจะต้อง มีความประพฤติตามธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงอนุเคราะห์แสดงไว้ด้วย

อีกนานสักแค่ไหนถึงจะรู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์

ไม่ใช่ให้ไปทำหรือสร้างอะไรขึ้นมา แต่ เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

๐ ชีวิตที่ไม่รู้ความจริง ก็จะเป็นไปด้วยความไม่รู้อย่างไม่มีวันจบสิ้น

สิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ ได้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง

เกิดแล้วต้องตายแน่ๆ เกิดมาแล้วตายไป ประโยชน์อยู่ตรงไหน? ถ้าเกิดแล้ว ไม่รู้ และ ติดข้อง จะมีประโยชน์อะไร และเมื่อติดข้องแล้ว อกุศลทั้งหลายก็ตามมา อย่างมากมาย

ประโยชน์สูงสุดแห่งพระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ให้ผู้ ฟังมีความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเองจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง

เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีจริงแล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากขณะนี้เลย ไม่พ้นไปจากเห็น ได้ยิน ติดข้อง เป็นต้น

ไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความเข้าใจที่มีแล้ว สะสมมาแล้ว จะมีกำลังพอที่จะรู้ว่าเป็นเพียงธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปแล้วก็ดับไป

สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ แต่ไม่ใช่ตัวตน ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน นี้แหละ คือ อนัตตา

ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยว่างเลย มีธรรมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่อยู่ตลอด

ธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งจะต้องฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงจนกว่าจะเข้าใจเพิ่ม ขึ้นว่าเป็นธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น

ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดเพราะเหตุปัจจัย แม้การที่จะได้ฟังพระธรรม ก็มีเหตุปัจจัย ถ้าไม่เคยสะสมเหตุที่ดีมาเลย ไม่เคยเห็นประโยชน์เลย ย่อมไม่ฟัง การฟังพระธรรม เกิดขึ้นไม่ได้

ประโยชน์ของการได้เข้าใจพระธรรม คือ สามารถรู้ความจริงในขณะนี้ได้

ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถขัดเกลาละคลายอกุศลได้เลย

จากที่โกรธ แล้วสามารถที่จะเป็นไม่โกรธได้ เงินทองไม่สามารถที่จะทำให้เป็น อย่างนี้ได้ แต่ปัญญาสามารถที่จะทำให้เป็นไปได้ และเป็นไปได้จริงๆ

สิ่งสำคัญที่สุด คือ สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ซึ่งจะพ้นไปจากการฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลัง ปรากฏไม่ได้เลย.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๔๐ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแบ่งปันธรรม ครับ

- ถ้าเราเข้าใจว่า ความชั่วมักเกิดขึ้นเมื่อขาดความเพียรที่ถูกต้อง ซึ่งประกอบด้วยความสะดุ้งกลัว ก็จะทำให้รีบเร่งที่จะเจริญกุศล และยิ่งกว่าอย่างอื่น คือระลึกรู้ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

- ชีวิตประจำวันเป็นข้อทดสอบการเจริญปัญญา เราเข้าใจเรื่องการเจริญปัญญาด้วย ปริยัติ และบัดนี้ เราก็ต้องอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันเราด้วย ถ้าเหนื่อย หน่ายหรือเบื่อ ก็ต้องรู้ด้วยว่าเหนื่อยหรือเบื่อนั้น ก็เป็นสภาพธรรม เราหนีไม่พ้นนาม และรูปในชีวิต นามและรูปเกิดขึ้นตลอดเวลา

- “เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พรุ่งนี้ หรือแม้แต่ขณะต่อไป” ถ้าเรารู้ว่า แต่ละขณะเกิดขึ้นเพราะปัจจัยหลายอย่างต่างๆ กัน และทุกขณะต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากขณะก่อนๆ และขณะหลัง ก็จะทำให้เราไม่รีรอ ที่จะศึกษาสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ยิ่งขึ้น

- เมื่อเริ่มรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เราก็จะกังวลถึงอดีตน้อยลง อะไรที่เกิดขึ้น แล้วก็เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้เราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สิ่งที่สามารถจะกระทำได้ เดี๋ยวนี้ คือ อบรมเจริญปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ (ไม่มีตัวตนที่จะไป กระทำ แต่เป็นลักษณะของสภาพธรรมเกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่)

- คำพูดที่จริง แต่ไม่เป็นประโยชน์ บัณฑิตก็ไม่พูดกัน

- พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอุปการะไม่ให้ประมาท แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

- ความสุข ความเจริญ ไม่ได้อยู่ที่การติด แต่เป็นการละ

- เคารพในกุศลจิตของบุคคลอื่น การเคารพซึ่งกันและกันก็เป็นการขัดเกลากิเลส

- ประเพณีในสมัยพุทธกาล คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
aurasa
วันที่ 3 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 4 มิ.ย. 2555

ชีวิตประจำวันเป็นข้อทดสอบการเจริญปัญญา...

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 4 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนา อาจารย์คำปั่น อาจารย์ผเดิม และทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 4 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 4 มิ.ย. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 5 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ควรพิจารณากุศลของผู้อื่นเพื่ออนุโมทนา"

"ควรพิจารณาอกุศลของตนเองเพื่อขัดเกลา"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 5 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
หลานตาจอน
วันที่ 5 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pat_jesty
วันที่ 5 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น อ.ผเดิมและทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 6 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่หวั่นไหว เพราะเข้าใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความเข้าใจที่มีแล้ว สะสมมา แล้ว จะมีกำลังพอที่จะรู้ว่าเป็นเพียงธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปแล้วก็ดับไป

ประเพณีในสมัยพุทธกาล คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรม

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น และ อ.ผเดิม และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ผิน
วันที่ 7 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 8 มิ.ย. 2555

"สิ่งสำคัญที่สุด คือ สามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ซึ่งจะพ้นไปจากการฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้เลย"

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น คุณผเดิม และ ทุกๆ ท่าน ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wittawat
วันที่ 10 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.ผเดิม และทุกท่าน

เป็นธรรมที่ได้ให้คิด ให้พิจารณาความจริงสั้นๆ ที่ละเอียดลึกซึ้ง และก็มีประโยคที่เตือนสติ ให้ได้รับความสงบจากการพิจารณา และก็มีข้อความที่อยากจะเขียนซ้ำอีกรอบหนึ่ง ก็เพื่อเตือนสติตนเองด้วย

ผู้มีปัญญาย่อมเห็นอกุศลของตนเอง เห็นโทษและขวนขวายที่จะดับด้วย ถ้ามีความต้องการในกามก็เหมือนกินเหยื่อ (เหยื่อ คือ กาม ความทรมาน คือ ทุกข์ ชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น) ชื่อว่าเหยื่อ ก็ต้องมาพร้อมกับอาวุธมีคม แน่ๆ ทุกคนมีกิเลส แต่ไม่ทราบว่าเป็นของหนัก จนกระทั่งกลุ้มรุมแล้วจึงทราบว่า หนัก ทำลายจิตให้เศร้าหมอง กิเลสไม่ได้หมดไปเพราะคำสรรเสริญ

ขอขอบคุณ และอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
orawan.c
วันที่ 10 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
เข้าใจ
วันที่ 20 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลที่เกื้อกูลในพระธรรมของ อาจารย์คำปั่น อาจารย์ ผเดิมและกัลยาณมิตรสหายธรรมทุกๆ ท่านด้วยครับ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 12 พ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ