ฟังจนกว่าไม่คิดที่จะไปทำอะไร (เพราะรู้ว่าทำไม่ได้)

 
เมตตา
วันที่  21 พ.ค. 2555
หมายเลข  21144
อ่าน  1,833

การรอบรู้ปริยัติ เพื่อรู้ปฏิบัติ

การรอบรู้ปริยัติก็เกิดจากการฟังธรรมให้เข้าใจ ทั้งหมดเพื่อเข้าใจความจริงว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏแต่ละอย่าง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ฟังเพื่อเข้าใจความจริงที่เป็นวจีสุจริต เป็นวาจาสัจจะ ที่จะนำไปสู่ความจริงจนถึงที่สุด ... ชาวสาวัติถีในครั้งนั้น นำดอกไม้ธูปเทียนไปวิหารเชตวันเพื่อไปฟังพระธรรม เพื่อความเข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่ได้ไปทำอะไรอื่น ไม่ได้ไปนั่งปฏิบัติ หลับตา ทำสมาธิ ด้วยความไม่เข้าใจพระธรรม ทำไมทุกวันนี้เราไม่สืบต่อประเพณีฟังธรรมให้เข้าใจความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ต้องเข้าใจความจริงที่เป็นวจีสุจริต เป็นวาจาสัจจะ ซึ่งทั้งหมด ก็นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่ไปปฏิบัติอะไรโดยไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นทุกขสัจจ์ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เห็น ได้ยิน ... และคิดนึก มีจริง เกิดแล้วดับไป เป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ก่อนฟังพระธรรมยังไม่มีความเข้าใจก็เข้าใจผิดว่ามีเรา เป็นตัวเรา แต่เมื่อฟังธรรม แล้วก็เริ่มเข้าใจความจริงว่ามีแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างจริงๆ ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่าทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ... และคิดนึกเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เห็นมีลักษณะจริงๆ เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ ต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งเป็นรูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ เมื่อมีความเข้าใจจริงๆ ว่าเห็นนั้นเป็นสภาพรู้และสภาพรู้ที่เห็น ก็รู้เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น จุดประสงค์ของการฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงขณะนี้ ซึ่งเป็นปริยัติ ฟังจนกว่าจะมั่นคง ... (ไม่คิดที่จะไปทำอะไร ใครชวนไปปฏิบัติ ก็รู้ว่าไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง) เมื่อมีความเข้าใจความจริงขณะนี้มั่นคงขึ้นๆ สักวันหนึ่งสิ่งที่มีจริงย่อมปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นปฏิปัตติ โดยปัญญา คือ ความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นๆ นั่นเอง สามารถรู้ความจริงขณะที่กำลังเห็นว่าเป็นสภาพรู้ และ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีตัวเราที่ไปจดจ้อง หรือหวังให้สภาพธรรมเกิด แต่เป็นการรู้โดยความเป็นอนัตตา ฟังให้เข้าใจความจริงขณะนี้ ... จนไม่ถูกพาไปปฏิบัติ

ทั้งหมดในพระไตรปิฎก ก็คือ ความจริงขณะนี้

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทำไม่ได้ เพราะ มีแต่ธรรม ที่เป็น จิต เจตสิกและรูปที่เกิดขึ้นและดับไป เพราะธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อไม่ใช่เรา จึงไม่มีเราที่จะทำ ขณะนี้เห็น ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ เมื่อเหตุปัจจัยหร้อม เห็นก็เกิดขึ้น การปฏิบัติ ที่เป็นสติและปัญญาที่เกิดขึ้นก็เช่นกัน เป็นธรรม ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย คือ เมื่อเหตุ ปัจจัยพร้อม สติและปัญญาก็เกิดขึ้นเอง ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเราที่จะทำให้สติและปัญญาเกิด เพราะสติและปัญญา เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา หน้าที่ คือ การอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรมต่อไป เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม คือ ปัญญา ขั้นการฟังมากขึ้น ย่อมเป็นเหตุปัจจัย ให้สติและปัญญาเกิดขึ้น รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงครับ โดยไม่มีเราเลือก หรือ บังคับให้เกิดขึ้นเลย

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 21 พ.ค. 2555

คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ธรรมะทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในภาษาไทย คำว่าปฏิบัติ หมายถึง ทำ คนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็คิดเอาเองว่า ถ้าไม่ไปทำก็ไม่ใช่ปฏิบัติ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เข้าใจจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ธรรมต้องมีการฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจก่อน จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปฏิปัตติ ได้ ถึงเฉพาะแต่ละลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ.

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 21 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ทุกขณะเพียงสิ่งปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล"

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง...

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 22 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ ช่วยเตือนสติได้ดี เพราะในชีวิตแต่ละวันมีแต่เรื่อง จะทำ จะทำ อยู่ตลอด เวลา ทั้งๆ ที่รู้ว่า "ทำ" ไม่ได้ ต้องฟังให้เข้าใจจนไม่ต้องคิดไปทำอะไรอีกจริงๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 24 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
one_someone
วันที่ 21 ต.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย แม้การรู้ของจิต การรู้ชัดของปัญญา การระลึกได้ของสติ และการเกิดดับของสภาพธรรมต่างๆ ก็ไม่ใช่ว่ามีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะสภาพธรรมต่างๆ ล้วนมีลักษณะที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Noparat
วันที่ 22 ต.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตาและทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
อารทธวิริโย
วันที่ 23 ต.ค. 2555

เรื่องโทมนัสของสุพรหมเทพบุตร

แม้สุพรหมเทพบุตร อันนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ห้อมล้อม ก็เสวยสวรรคสมบัติ ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อย มัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรรำพึงว่าทำไม เทพอัปสรเหล่านี้จึงชักช้าอยู่ ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดูตัวเองว่า อายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ จะไปเกิดในนรกนั้นด้วย ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น จะยังความโทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่น แล้วก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหาว่า

นิจฺจุตฺรสฺตมิทํ จิตฺตํ นิจฺจุพฺพิคฺคมิทํ มโน อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ สเจ อตฺถิ อนุตฺรสฺตํ ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต

จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ จิตใจนี้หวาดอยู่เป็นนิตย์ ทั้งในกิจที่ยังไม่เกิด ทั้งในกิจที่เกิดแล้ว ถ้าหากว่าความไม่หวาดสะดุ้งมีอยู่ ขอพระองค์ที่ถูกทูลถามแล้ว โปรดบอกความไม่หวาดสะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสบอก สุพรหมเทพบุตร

(ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค) ว่า

นาญฺตฺร โพชฺฌา ตปสา นาญฺตฺร อินฺทฺริยสํวรา นาญฺญตฺร สพฺพปฏินิสฺสคฺคา โสตฺถึ ปสฺสามิ ปาณินํ

นอกจากปัญญาเครื่องรู้

ตปะเครื่องเผาความชั่ว นอกจากความสำรวมอินทรีย์

นอกจากความสละคืนทุกสิ่งทุกอย่าง

เราก็มองไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลายดังนี้.

ในที่สุดเทศนา สุพรหมเทพบุตรก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยนางเทพอัปสรห้าร้อยทำสมบัตินั้นให้ถาวรแล้วกลับไปยังเทวโลก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ