วันพืชมงคล น้อมระลึกถึงพระธรรม
พระโพธิสัตว์ ได้ฌาน เมื่ออายุ ๗ ขวบ ในวันประกอบพิธีแรกนาขวัญ
พระเจ้าสุทโทธนะ ราชบิดา ไหว้พระโพธิสัตว์
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 139
ในที่ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญ ได้มีต้นหว้าต้นหนึ่ง มีใบหนาทึบ มีร่มเงาร่มรื่น ภายใต้ต้นหว้านั้น พระราชารับสั่งให้ปูที่บรรทมของกุมาร ข้างบนคาดเพดาน ขจิตด้วยดาวทอง ล้อมด้วยกำแพงม่านตั้งอารักขา ทรงเครื่องสรรพาลังการ แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จไปสู่พระราชพิธีแรกนาขวัญ ณ ที่นั้น พระราชาทรงถือคันไถทอง พวกอำมาตย์ถือคันไถเงิน ๘๐๐ หย่อนหนึ่ง ชาวนาถือคันไถที่เหลือ. เขาเหล่านั้น ถือคันไถเหล่านั้นไถไปทางโน้นทางนี้. ส่วนพระราชา เสด็จจากข้างนี้ ไปข้างโน้นหรือจากข้างโน้นมาสู่ข้างนี้. ในที่นี้เป็นมหาสมบัติ พระพี่เลี้ยงนั่งล้อม พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักเห็นสมบัติของพระราชา จึงพากันออกไปนอกม่าน พระโพธิสัตว์ทรงแลดูข้างโน้นข้างนี้ ไม่เห็นใครๆ จึงรีบลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออก ยังปฐมฌานให้เกิด. พระพี่เลี้ยงมัวเที่ยวไปในระหว่างโรงอาหาร ช้าไปหน่อยหนึ่ง เงาของต้นไม้อื่นก็คล้อยไป แต่เงาของต้นไม้นั้น ยังตั้งเป็นปริมณฑลอยู่. พระพี่เลี้ยงคิดว่า พระราชบุตรอยู่ลำพังพระองค์เดียว รีบยกม่านขึ้นเข้าไปภายใน เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิบนที่บรรทม และเห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้ว จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ พระกุมารประทับอย่างนี้ เงาของต้นไม้อื่นคล้อยไป เงาต้นหว้าเป็นปริมณฑลอยู่ พระราชาเสด็จไปโดยเร็ว ทรงเห็นปาฏิหาริย์ ทรงไหว้พระโอรสด้วยพระดำรัสว่า นี้เป็นการไหว้ลูกเป็นครั้งที่สอง.
การทำนาทางธรรม
กสิภารทวาชสูตร
กสิภารทวาชพราหมณ์ ประกอบพิธีมงคลในการหว่านพืช คือ ข้าว ครั้งแรก พระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยการบรรลุเป็นพระอรหันต์ของกสิภารทวาชพราหมณ์ ทรงเสด็จไปในขณะที่ กสิภารทวาชพราหมณ์กำลังหว่านพืช คือ เมล็ดข้าว กับคนงาน ๒๕๐๐ คน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึง รัศมีของพระองค์ที่มีสีทอง ทำให้คนงานทั้งหมดหยุดการหว่านข้าว มองแต่พระพุทธเจ้า กสิภารทวาชพราหมณ์โกรธที่ทำให้คนงานไม่ทำงาน จึงทูลกับพระพุทธเจ้าว่า ข้าพระองค์ ไถและหว่านจึงบริโภค พระองค์ก็ควรไถและหว่านแล้วบริโภคเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้เราก็ไถและหว่าน ทำนา แล้วจึงบริโภคเองเช่นกัน กสิภารทวาชพราหมณ์สงสัย จึงทูลถามว่า
ข้าพระองค์ไม่เห็น ไถ โค แอก ที่เป็นเครื่องทำนาของพระองค์เลย ขอพระองค์ตรัสบอกการทำนาของพระองค์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ศรัทธาของเราเป็นพืช ความเพียรของเราเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริของเราเป็นงอนไถ ใจของเราเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เราคุ้มครองกาย คุ้มครองวาจา สำรวมในอาหารในท้อง ย่อมกระทำการถอนหญ้า คือ การกล่าวให้พลาดด้วยสัจจะ ความสงบเสงี่ยมของเราเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลส ความเพียรของเรานำธุระไปเพื่อธุระนำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ไม่หวนกลับมา ย่อมถึงสถานที่ๆ บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก การไถนานั้น เราไถแล้วอย่างนี้ การไถนานั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ บุคคลไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

อธิบายดังนี้ว่า
ศรัทธา เป็นพืช คือ เพราะ อาศัย ศรัทธา เป็นเบื้องต้น กุศลธรรมประการต่างๆ จึงเจริญได้ ฉันใด แม้ ข้าวกล้า การทำนาจะมีขึ้นได้ ก็ต้องมีพืช เมล็ดพืชก่อนเป็นสำคัญ ความเพียร ที่เป็นตบะ ที่เป็นธรรมเครื่องเผากิเลส คือ การสำรวมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เป็นเหมือนฝนที่ช่วยทำให้เมล็ดพืชงอกงาม ปัญญาเป็นแอกและไถ คือ การไถนา จะมีได้ ก็เพราะอาศัยแอกและไถเป็นสำคัญ ฉันใด การจะดับกิเลส จะมีได้ ก็เพราะอาศัย ปัญญา ความเห็นถูก เป็นสำคัญ เพราะ ปัญญาเป็นหัวหน้าของกุศลธรรมทั้งหลาย และเป็นปัจจัยให้สามารดับกิเลสได้ ครับ หิริ เป็นงอนไถ เพราะอาศัย ความละอายต่อบาป กุศลประการต่างๆ ย่อมเจริญเกิดขึ้น พร้อมๆ กับปัญญาที่เกิดขึ้น ใจของเราเป็นเชือก ใจในที่นี้ หมายถึง ใจที่ประกอบด้วย สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นชอบ เมื่อมีสัมมาสมาธิ ความฟุ้งซ่าน ก็ย่อมทำให้ปัญญาเจริญ ถูกต้อง พร้อมๆ กับกุศลธรรมประการอื่นๆ ด้วย เปรียบเหมือนเชือก ย่อมช่วยยึด ตัวโคและไถ แอกไว้ได้ ฉันใด ใจที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ ย่อมยึดกุศลธรรมประการต่างๆ ไว้ได้ และไปด้วยกัน
ดังนั้น ขณะที่เจริญสติ อบรมปัญญา เจริญสติปัฏฐาน ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนี้ รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ชื่อว่า กำลังทำนาทางธรรม ด้วยการ หว่านพืช คือ ศรัทธา และ ไถนา ด้วยอุปกรณ์ คือ ปัญญา และ หิริ ย่อมทำนาสำเร็จได้ คือ ถึงการบรรลุ มรรคผล นิพพาน ดังนั้น การไถนา และการทำนาทางธรรม ผลคือ ละ อวิชชา กิเลสประการต่างๆ ได้หมดสิ้น มีอมตะ เป็นที่สุด คือ ถึงพระนิพพาน ครับ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ชื่อว่า กำลังเริ่มประกอบกิจ คือ การทำนาอยู่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 168
เรื่อง ผลของการหว่านเมล็ดพันธุ์พืช
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
คน ทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี
ส่วนคนทำเหตุชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.
กรรม ย่อมยุติธรรมเสมอ เมื่อบุคคลหว่านพืชชนิดใด ก็ย่อมได้พืช ต้นไม้ ชนิดนั้น เมื่อปลูกอ้อย ผลที่ได้ ก็ต้องเป็นอ้อย ไม่ใช่ข้าว ดังนั้น ผู้ที่ทำเหตุที่ดี คือ กุศลกรรม ผลที่ได้ คือ วิบากที่ดี คือ กุศลวิบาก มีการเกิดในภพภูมิที่ดี เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น จะไม่ให้ผลเป็นวิบากไม่ดี ไม่ได้เลย หว่านพืชเช่นไร ย่อมให้ผลเช่นนั้น และ เมื่อบุคคล ทำอกุศลกรรม ทำเหตุที่ไมดี ผลที่ไม่ดี ก็ย่อมเกิดขึ้น คือ เกิดในภพภูมิที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้น และทำให้เห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี เพราะ อกุศลกรรม คือ เหตุที่ไม่ดีเป็นปัจจัย อกุศลกรรมจะให้ผลเป็นความสุข สิ่งที่ดีไม่ได้เลย เพราะ หว่านพืชเช่นไร ย่อมให้ผลเช่นนั้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"บุคคลย่อมข้ามโอฆะ คือห้วงน้ำใหญ่ทั้ง ๔ ได้ก็ด้วยศรัทธา"
แต่การมีศรัทธาเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจบรรลุคุณธรรมอันสูงสุดได้ ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติตามด้วยโดยเฉพาะ
คือการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ หรือการเจริญสติปัฏฐาน ๔
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ชื่อว่า กำลังเริ่มประกอบกิจ คือ การทำนาอยู่ ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นหัวข้อที่มีประโยชน์มากครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอขอบพระคุณที่อธิบายถึงความสำคัญของวันพืชมงคลนี้ค่ะ ได้รับประโยชน์และเข้าใจถูกมากขึ้นเลยค่ะ
ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านนะคะ
ขอบคุณ และ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ที่ทำให้ทราบว่า วัน พืชมงคล นั้น เกี่ยวโยง กับ พระพุทธองค์ ด้วย เพราะเหตุนี้นี่เอง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
คน ทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี
ส่วนคนทำเหตุชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.
ขอบคุณ และ ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทำกรรมดีก็ได้ผลของความดี ทำกรรมชั่วก็ได้ผลของความชั่ว อยากได้ดี ไม่ทำดี นั้นมีมาก ดีแต่อยาก หากไม่ทำ น่าขำหนอ อยากได้ดี ต้องทำดี อย่ารีรอ ดีแต่ขอ รอแต่ดี ไม่ดีเลย
ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านครับ ที่ได้อ่านแล้ว สติน้อมไปในธัมมะมากขึ้นครับ
กราบอนุโมทนาครับ
ศรัทธาของเราเป็นพืช ความเพียรของเราเป็นฝน ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริของเราเป็นงอนไถ ใจของเราเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและปฏัก เราคุ้มครองกาย คุ้มครองวาจา สำรวมในอาหารในท้อง ย่อมกระทำการถอนหญ้า คือ การกล่าวให้พลาดด้วยสัจจะ ความสงบเสงี่ยมของเราเป็นเครื่องปลดเปลื้องกิเลส ความเพียรของเรานำธุระไปเพื่อธุระนำไปถึงแดนเกษมจากโยคะ ไม่หวนกลับมา ย่อมถึงสถานที่ๆ บุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก การไถนานั้นเราไถแล้วอย่างนี้ การไถนานั้น ย่อมมีผลเป็นอมตะ บุคคลไถนานั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.
ขออนุโมทนาค่ะ
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี
ส่วนคนทำเหตุชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ ที่ได้นำความรู้และความหมายของวันพืชมงคลมาบรรยายให้เกิดความเข้าใจ เพื่อไม่ละความพยายามที่จะประกอบแต่กรรมดี ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงอุปมาไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของผู้อ่านทุกๆ ท่านด้วยครับ







