กุศลจิต กุศลกรรม อกุศลจิต อกุศลกรรม การปฏิบัติเพื่ออยู่เหนือกรรม

 
supanp
วันที่  10 เม.ย. 2555
หมายเลข  20940
อ่าน  3,876

๑. ใน ๑๗ ขณะของจิต กุศลจิตเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

๒. ใน ๑๗ ขณะของจิต อกุศลจิตเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

๓. กุศลกรรมเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

๔. อกุศลกรรมเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

๕. การปฏิบัติเพื่ออยู่เหนือกรรมทำอย่างไร

๖. โสดาบันบุคคลจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นไปได้อย่างไร

๗. การบรรลุโสดาบันปิดกั้นอบายภูมิได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ใน ๑๗ ขณะของจิต กุศลจิตเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

- วิถีจิต ที่เกิดขึ้น ๑๗ ขณะจิต กุศลจิตเกิดขึ้น ในขณะที่เป็น ชวนจิต ๗ ขณะ เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย โวฏฐัพพนะจิต ทำทางให้กุศลจิตเกิด ตามการสะสมมาของบุคคลนั้นที่ทำให้เกิดกุศลจิต ๗ ขณะที่ ชวนจิต และเพราะโยนิโสมนสิการ เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตครับ

๒. ใน ๑๗ ขณะของจิต อกุศลจิตเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

- วิถีจิต ที่เกิดขึ้น ๑๗ ขณะจิต อกุศลจิตเกิดขึ้น ในขณะที่เป็น ชวนจิต ๗ ขณะ เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย โวฏฐัพพนะจิต ทำทางให้อกุศลจิตเกิด ตามการสะสมมาของบุคคลนั้นที่ทำให้เกิดอกุศลจิต ๗ ขณะที่ ชวนจิต และเพราะอโยนิโสมนสิการ เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลจิต ครับ

๓. กุศลกรรมเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

- กุศลกรรม ก็คือ ขณะที่ทำกุศลที่เป็นไปทางกาย วาจาและใจ จนครบกรรมบถ เช่น ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น ซึ่งกุศลกรรม ก็ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก แต่เป็นเจตนาเจตสิกที่มีกำลังที่เกิดร่วมด้วย กับ กุศลจิตนั้น จนเป็นกรรมที่เป็นกรรมบถที่เป็นกุศลกรรม ดังนั้น กุศลกรรม ก็คือ กุศลจิตนั่นเอง ที่มีกำลังครับ เมื่อเป็นกุศลจิตแล้ว ก็ต้องเกิดขึ้นที่ชวนจิต ๗ ขณะ เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยโวฏฐัพพนะจิต ทำทางให้กุศลจิตเกิด ตามการสะสมมาของผู้นั้น ด้วยการพิจารณาโดยแยบคาย ทำให้เกิดกุศลจิตที่มีกำลัง เป็นกุศลกรรม อันเกิดขึ้นได้ตามการสะสมมา ครับ

๔. อกุศลกรรมเกิดขึ้นเมื่อใด เกิดขึ้นได้อย่างไร

- อกุศลกรรม ก็คือ ขณะที่ทำอกุศลที่เป็นไปทางกาย วาจาและใจ จนครบกรรมบถ เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ซึ่งอกุศลกรรม ก็ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก แต่เป็นเจตนาเจตสิกที่มีกำลังที่เกิดร่วมด้วย กับ อกุศลจิตนั้น จนเป็นกรรมที่เป็นกรรมบถที่เป็นอกุศลกรรม ดังนั้น อกุศลกรรม ก็คือ อกุศลจิตนั่นเอง ที่มีกำลังครับ เมื่อเป็นอกุศลจิตแล้ว ก็ต้องเกิดขึ้นที่ชวนจิต ๗ ขณะ เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยโวฏฐัพพนะจิต ทำทางให้อกุศลจิตเกิด ตามการสะสมมาของผู้นั้น และเพราะพิจารณาโดยไม่แยบคาย ทำให้เกิดอกุศลจิตที่มีกำลัง เป็นอกุศลกรรม อันเกิดขึ้นได้ตามการสะสมมา ครับ

๕. การปฏิบัติเพื่ออยู่เหนือกรรมทำอย่างไร

- กรรมสำเร็จแล้ว ไม่มีใครสามารถไปแก้กรรมได้ ตราบใดที่ยังมีกิเลส และยังต้องเกิด ขณะที่เกิด เป็นผลของกรรม ชื่อว่าไม่ได้อยู่เหนือกรรมแล้ว และเมื่อมีการเกิด ก็มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ก็เป็นผลของกรรม และต้องได้รับผลของกรรม ก็ไม่สามารถอยู่เหนือกรรมได้ ผู้ที่จะอยู่เหนือกรรม คือ ไม่มีการเกิดขึ้น ของ จิต เจตสิก รูป คือ ไม่มีการเกิดอีกเลย คือ พระอรหันต์ที่ดับกิเลสแล้วและปรินิพพาน ไม่เกิดอีก ชื่อว่า อยู่เหนือกรรม เพราะ ไม่มีกรรมที่จะให้ผล ให้มีการเกิด ให้มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ครับ

การปฏิบัติเพื่ออยู่เหนือกรรม ก็คือ การปฏิบัติเพื่อถึงความสิ้นกิเลส อันจะนำมาซึ่งการไม่เกิด กรรมไม่สามารถให้ผลได้ อยู่เหนือกรรมนั่นเองครับ แต่ไม่ใช่หนทางการทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่างๆ จะทำให้หนีกรรม เหนือกรรมได้ ดังนั้น การปฏิบัติเพื่ออยู่เหนือกรรม คือ การเจริญอบรมปัญญา ตามที่พระพุทธจ้าทรงแสดง คือ การเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ สติปัฏฐาน ๔ (วิปัสสนา) อันเป็นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ นี่คือ หนทาง ข้อปฏิบัติที่จะอยู่เหนือกรรม เพราะทำให้สิ้นกิเลส ไม่มีการเกิด อันกรรมไม่สามารถให้ผลได้อีกครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 10 เม.ย. 2555

๖. โสดาบันบุคคลจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นไปได้อย่างไร

พระโสดาบัน คือ พระอริยบุคคลขั้นแรก ในทั้งหมด ๔ ขั้น คือ บุคคลที่อบรมปัญญาประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม จนสามารถประจักษ์พระนิพพาน และดับกิเลสได้บางส่วน มีความเห็นผิด ความลังเลสงสัย และการยึดถือข้อปฏิบัติที่ผิดได้จนหมดสิ้น แต่ก็ยังเหลือกิเลสอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ดับ แต่พระโสดาบัน จะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ พระโสดาบันบางพวกก็เกิดเพียงชาติเดียวก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่เกิดอีก พระโสดาบันบางพวกก็เกิด ๒-๖ ชาติก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ และปรินิพพาน แต่อย่างช้าสุด ท่านย่อมไม่เกิดในชาติที่ ๘ ชาติที่ ๗ ย่อมบรรลุเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาติที่ ๗ ครับ เหตุผลเพราะว่า พระโสดาบัน ท่านอบรมปัญญา ทราบหนทางการอบรมปัญญาแล้วว่าจะอบรมปัญญาอย่างไร พระโสดาบัน จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า ผู้ไปสู่กระแสที่สูง คือ ท่านก็อบรมปัญญาต่อไป เพราะทราบหนทางแล้ว ก็บรรลุเป็นพระสกทาคามีพระอนาคามี พระอรหันต์ ดังนั้น เมื่อท่านทราบหนทางที่ถูกต้อง มั่นคงแล้ว จึงอบรมปัญญา บรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่เกิน ๗ ชาติ คือ ช้าสุดท่านก็เป็นพระอรหันต์ในชาติที่ ๗ และปรินิพพานในชาติที่ ๗ ไม่เกิดอีก ครับ


๗. การบรรลุโสดาบันปิดกั้นอบายภูมิได้อย่างไร

- พระโสดาบัน เป็นผู้ประจักษ์พระนิพพาน และสามารถดับกิเลสบางส่วนได้จนหมดสิ้นเมื่อท่านเกิดกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นโลกุตตระ ประจักษ์พระนิพพาน เป็นกุศลกรรมที่มีกำลังมาก ย่อมไม่ทำให้พระอริยะ คือ พระโสดาบัน ไม่ต้องเกิดในอบายภูมิ มี นรก เป็นต้นอีกเลย เพราะ กุศลกรรมที่เกิดมีกำลังมากเป็นโลกุตตระ และอีกประการหนึ่ง เมื่อท่านดับกิเลสแล้ว ด้วยปัญญา พระโสดาบัน ย่อมดับกิเลส คือ อกุศลที่จะเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิได้แล้วครับ ท่านจึงไม่มีปัจจัยที่จะต้องเกิดในอบายภูมิ เพราะดับกิเลสที่จะเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิ มีการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ อยู่เป็นปกติไม่ล่วงศีล ๕ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 10 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องเข้าใจก่อนว่า กุศลจิต กับ อกุศลจิต คือ อะไร?

กุศลจิต เป็นจิตที่ดีงาม ประกอบด้วยธรรมฝ่ายดี มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เป็นไปในทานบ้าง ศีลบ้าง ความสงบของจิตบ้าง การอบรมเจริญปัญญาบ้าง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ส่วน อกุศลจิต เป็นจิตที่ไม่ดี เพราะประกอบด้วยอกุศลเจตสิก มี ความโลภ ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศล เป็นต้น ถ้ากล่าวตามลำด้บแห่งการเกิดขึ้นของจิตที่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเกิดขึ้น ที่เป็นวิถีจิต นั้น ก็เป็นในขณะที่เป็นชวนจิต ๗ ขณะนั่นเอง ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นกุศลชวนะหรืออกุศลชวนะ และถ้าเป็นกุศลกรรม กับ อกุศลกรรม ก็เป็นในขณะที่เป็นชวนะ ๗ ขณะนี้เอง เพราะมีกุศลจิตเกิดขึ้นจึงกระทำกุศลประการต่างๆ และในทางตรงกันข้าม เพราะอกุศลจิตเกิดขึ้นมีกำลัง จึงมีการกระทำทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ

- กรรมชั่วที่กระทำแล้ว เสร็จสิ้นแล้ว ไม่สามารถจะไปแก้ได้ นอกจากจะเป็นผู้เห็นโทษของอกุศลแล้ว ปรับปรุงแก้ไขตนเอง ด้วยการสำรวมระวังไม่กระทำกรรมชั่วอย่างนั้นอีก พร้อมกับเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ส่วนกรรมดีซึ่งเป็นกุศลกรรม นั้น ไม่ต้องไปแก้ มีแต่ควรจะสะสมเพิ่มพูนให้มีมากขึ้น เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ตามความเป็นจริง มีหนทางที่เป็นไปเพื่อการสิ้นกรรมทั้งหมดได้ คือ การอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับขันธ์ปรินิพพาน (ตาย) ไม่ต้องเกิดอีก เมื่อไม่เกิด จึงไม่มีการกระทำกรรม และไม่ต้องได้รับผลของกรรมใดๆ อีกเลย สิ้นทั้งกรรมและผลของกรรมได้จริงๆ ด้วยหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 10 เม.ย. 2555

- การเกิดในภพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิก็ตาม เป็นผลเนื่องมาจากยังมีกิเลสอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัณหา และ อวิชชา เพราะยังมีตัณหาและอวิชชา การเกิดในภพใหม่ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น เพราะบุคคลผู้ที่ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ คือ พระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์ดับตัณหาและอวิชชาได้อย่างเด็ดขาด พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพานเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะ พระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

พระโสดาบัน (ไม่ใช่ปุถุชน) แต่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อท่านเป็นพระโสดาบัน ชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติของพระโสดาบัน (แต่กิเลสที่ดับได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นอีก) จนกระทั่งถึงจิตขณะสุดท้ายในภพนั้นจะเกิดขึ้น คือ จุติจิต และเมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นทันทีคือปฏิสนธิจิต พระโสดาบันเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วย่อมเกิดในภพใหม่ ซึ่งจะต้องเป็นสุคติภูมิ กับ พรหมภูมิ เท่านั้น เพราะพระโสดาบันปิดประตูอบายภูมิได้แล้ว ไม่มีเหตุที่จะต้องไปเกิดในอบายภูมิอีก เนื่องจากว่าดับกิเลสอย่างหยาบอันเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิได้อย่างหมดสิ้นแล้ว พระโสดาบันเป็นผู้ที่มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ความเป็นพระอริยะที่ท่านได้ จะไม่เสื่อม ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก มีแต่จะมีการอบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาเพิ่มขึ้นเพื่อการบรรลุมรรคผลเบื้องสูงขึ้นไป จนกว่าจะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

การเป็นพระโสดาบัน เป็นได้ด้วยปัญญา จะขาดปัญญาไม่ได้เลย สำคัญที่เหตุคือ การได้คบกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมจากกัลยาณมิตรนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และเพราะได้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ ซึ่งปัญญาที่ได้สะสมมานั้น ไม่สูญหายไปไหน มีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 10 เม.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ผู้ที่จะอยู่เหนือกรรม ก็คือผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพาน แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น ก็ต้องสะสมเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น สะสมบารมี ๑๐ และมีปัญญาเป็นหัวหน้า ทั้งหมดก็ต้องมาจากการศึกษาธรรม และ การอบรมปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 11 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ