เรื่องคนใจดีกับคนใจชั่ว

 
ทรง
วันที่  15 มี.ค. 2555
หมายเลข  20779
อ่าน  2,288

ขอถามเรื่องคนใจดีกับคนใจชั่วครับ มาจากธรรมบทเรื่องอะไร และทรงสอนเปรียบเทียบอย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ซึ่ง สำหรับเรื่องใจดี ใจชั่วนั้น อยู่ในคาถาธรรมบทเล่มที่ ๔๐ ครับ ซึ่งมี ๒ เรื่อง ในเรื่อง ใจดี ใจชั่ว ซึ่งในพระธรรม ๒ เรื่อง ใช้คำว่า ใจร้าย กับ ใจผ่องใส

จากพระคาถานี้ ในเรื่องใจร้าย มาจาก พระสูตร ที่กล่าวถึงท่านพระจักขุบาล พระจักขุบาล เป็นพระอรหันต์ แต่ท่านบำเพ็ญเพียรจนตาท่านแตก ทำให้ตาบอด ซึ่งก็ได้กล่าวถึง กรรมในอดีตของท่านที่ทำให้ท่านตาบอดในปัจจุบันว่า ท่านเป็นหมอ รักษาโรค มีคนมาให้รักษาตา และคนที่มารักษากล่าวว่า ถ้ารักษาหาย จะยอมเป็นทาสรับใช้ เมื่อนางคนนี้หายโรค เมื่อไปหาหมออีก ก็ลวงว่ายังไม่หาย เพราะไม่อยากเป็นทาสรับใช้ หมอรู้ว่านางคนนี้หลอก จึงโกรธ จึงหลอกนางให้หยอดยาใหม่ อันปรุงยาพิษให้ เมื่อนางหยอดตา ตาของนางก็บอดสนิท นี่คือผลของกรรมที่ทำให้พระจักขุบาลตาบอด เพราะเป็นหมอปรุงยา มีเจตนาให้ผู้อื่นตาบอด ครับ ด้วยผลของกรรมนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดง จึงได้ตรัสพระคาถา ที่ว่า

๑. ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจร้ายแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ ฉะนั้น.

อธิบายว่า เมื่อมีการทำชั่ว ก็ต้องอาศัยใจที่ไม่ดี ใจร้าย เพราะประกอบด้วยกิเลส ใจที่ไม่ดี ใจร้ายเกิดขึ้น ก็กระทำกรรมชั่วด้วยกาย วาจา ผลของกรรมก็ย่อมมีเกิดขึ้นติดตามผู้นั้นไป เหมือนกับล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค เพราะโคลากเกวียนไปนั่นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ส่วนเรื่องใจดี คือ ใจผ่องใส ก็มาจากเรื่อง มัฏฐกุณฑลี เรื่องราวโดยย่อมีอยู่ว่า มัฏฐกุณฑลี เป็นบุตรของพราหมณ์ผู้มีทรัพย์ แต่พราหมณ์ผู้เป็นพ่อ ตระหนี่มาก ไม่ให้ใครเลยแม้แต่น้อย ต่อมา มัฏฐกุณฑลี ได้เกิดเป็นไข้และป่วย พ่อก็ไม่ยอมพาไปรักษา กลัวเสียเงิน ได้แต่ถามสูตรยากับหมอ จนกระทั่งอาการของมัฏฐกุณฑลี ผู้เป็นลูกหนัก จึงยอมให้ไปรักษากับหมอ แต่หมอเห็นอาการแล้ว ก็รู้ว่า ต้องตายแน่นอน จึงไม่รับรักษา ผู้เป็นพ่อจึงพาไปนอนในบ้าน ไม่ให้ใครเห็น พระพุทธเจ้า ทรงทราบด้วยจิตของพระองค์ ประสงค์จะสงเคราะห์ทั้งบุตรและบิดา จึงเสด็จให้ มัฏฐกุณฑลี เห็น ทั้งๆ ที่นอนป่วยนั่นเอง เมื่อเขาเห็นเกิดจิตเลื่อมใส ประนมอัญชลี และก็ตายไปเกิดในเทวโลก ชั้นดาวดึงส์ บิดา เศร้าโศกมาก และเมื่อถึงงานศพลูก พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาด้วย พร้อมทั้ง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาจากสวรรค์เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า และก็ได้แสดงผลของกรรมของตนว่า เพราะเพียงจิตเลื่อมใสใน พระพุทธเจ้า ก็เกิดในสวรรค์ มีสมบัติมากมาย พระมหาชนได้ฟังเกิดจิตยินดี

พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถาที่ว่า

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคล มีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว ฉะนั้น. เมื่อจบพระเทศนา ทั้ง บิดา และ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร บรรลุเป็นพะรโสดาบัน ครับ

อธิบายว่า เมื่อมีจิตผ่องใส กระทำบุญอยู่ มี การเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น ขณะนั้น จิตใจดี เพราะประกอบด้วยเจตสิกที่ดี มี ศรัทธา เป็นต้น เมื่อมีการกระทำทางกาย วาจาที่เกิดจากจิตผ่องใสด้วยกุศล ความสุข คือ ผลของกรรมที่เกิดจากกุศลกรรม ย่อมนำมาซึ่งความสุจข ติดตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตัวไปฉะนั้น ครับ

ในความเป็นจริง ไม่มีใคร หรือ คนที่ใจดี หรือ คนหรือใครที่ใจชั่ว แต่มีเพียง จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ที่เป็นจิตที่ดี ใจดี เพราะมีเจตสิกที่ดี มีศรัทธา ปัญญาเกิดร่วมด้วย และ เป็นจิตที่ไม่ดี เพราะมีเจตสิกที่ไม่ดี มี โลภะ โทสะ โมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย ครับ

กุศลธรรมควรเจริญทุกประการ เพราะเป็นธรรมไม่มีโทษ แม้กับผู้ที่กระทำ และผู้อื่นและนำความสุขมาให้ และชำระล้างสันดาน จากกิเลส ส่วนอกุศลธรรมไม่ควรทำ เพราะนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ธรรมเป็นอนัตตา ก็เป็นธรรมดาที่เกิดกุศล และอกุศล หนทางที่ถูกคือ อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระรรม ก็จะค่อยๆ ละกิเลส และเจริญกุศลมากขึ้น ตามกำลังของปัญญาที่เจริญขึ้นครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตคือ ความเป็นไปของจิตแต่ละขณะ มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้นที่เป็นอย่างนี้ แต่เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ในแต่ละชาตินั้น แต่ละคนก็สะสมมาทั้งส่วนที่ดี และ ไม่ดี ซึ่งสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ ไม่สูญหายไปไหน เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็เกิดขึ้นทันที จะเห็นได้ว่า เมื่อจิตเศร้าหมองด้วยอำนาจของอกุศล สะสมจนกระทั่งมีกำลังมากขึ้นๆ ย่อมเป็นเหตุให้กระทำในสิ่งที่ไม่ดี เป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ สิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นจะมาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะอกุศล บุคคลที่ทำแต่สิ่งไม่ดี ไม่ได้ทำความดีอะไรไว้เลย เป็นผู้ประมาทมัวเมา ย่อมเสื่อมจากประโยชน์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในทางตรงกันข้าม เมื่อจิตไม่เศร้าหมองไม่ร้าย ไม่ถูกอกุศลครอบงำ การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ย่อมเป็นไปในทางที่ดียิ่งขึ้น ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน (ไม่เดือดร้อนเพราะอกุศล) เมื่อละจากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่สุคติ

ตามความเป็นจริงแล้ว ใจดี เพราะจิตเป็นกุศล กุศลจิตเป็นจิตใจที่ดีงาม จิตใจที่ดีงามเกิดขึ้นในขณะใด ขณะนั้นเป็นกุศล, ใจไม่ดี หรือ ใจร้าย เพราะจิตเป็นอกุศล อกุศลจิตเป็นจิตใจที่ไม่ดี จิตใจที่ไม่ดีเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นเป็นอกุศล เมื่อเข้าใจและรู้แน่ชัดแล้วว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ควรที่จะอบรมเจริญความดีซึ่งเป็นธรรมฝ่ายกุศลให้มากขึ้น ให้มีกำลังพอที่จะขัดเกลาอกุศลของตนเองให้เบาบางลงได้ เพราะอกุศลมีมากมายเหลือเกิน ถ้าไม่เริ่มขัดเกลา ก็ย่อมจะมีแต่พอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติในชีวิตประจำวัน อกุศล เกิดขึ้นมาก จากที่เป็นอกุศลบ่อยๆ เนืองๆ แล้วเริ่มเป็นกุศลที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน มีการคิดดี พูดดี ทำดีมากยิ่งขึ้น ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาให้มากขึ้น ฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะช่วยบรรเทาอกุศลจิตซึ่งเป็นจิตที่ไม่ดีให้ลดน้อยลง จนกว่าจะดับได้ เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ สูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์, บุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากพระธรรม ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอย่างนี้ เพราะธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ทรง
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอขอบคุณท่านผู้รู้มากนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 15 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 16 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 17 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 19 มี.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
SOAMUSA
วันที่ 23 มี.ค. 2555

กุศลธรรมควรเจริญทุกประการ เพราะเป็นธรรมไม่มีโทษ แม้กับผู้ที่กระทำ และผู้อื่นและนำความสุขมาให้ และชำระล้างสันดาน

กราบอนุโมทนาสาธุอาจารย์ทั้งสองและทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 23 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 25 มี.ค. 2555

ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้

มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นคนดี ใจบุญ ชอบทำกุศล ทำบุญให้ทานเสมอ วิมานก็รออยู่แล้วในสวรรค์ ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่ตาย ส่วนภรรยา เป็นคนไม่ดี ไม่มีศีล ตรงข้ามกับสามี ไปตกนรก ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ